นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

บทความธรรมะ

Monday, November 8, 2010

ว่าด้วย กราบไหว้ผู้ควรกราบไหว้


อรรถกถา ปัพพชิตวิเหฐกชาดก
ว่าด้วย กราบไหว้ผู้ควรกราบไหว้


               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่  พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อชาวโลก จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทุพฺพณฺณรูปํ ดังนี้.
               เรื่องนี้จักมีแจ้งใน กัณหชาดก.

               ก็ในคราวครั้งนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อน ตถาคตก็บำเพ็ญประโยชน์แก่โลกเหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกะ. ครั้งนั้น วิชาธรคนหนึ่งร่ายเวทย์มนต์แล้วเข้าไปในห้องมิ่งขวัญในเวลาเที่ยงคืน ประพฤติล่วงเกินกับพระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี. ฝ่ายข้าหลวงของพระนาง ได้กราบทูลแด่พระราชา. พระนางจึงเสด็จเฝ้าพระราชาเสียเองทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ชายคนหนึ่งเข้ามาในห้องมิ่งขวัญ ในเวลาเที่ยงคืนข่มขืนหม่อมฉัน.
               พระราชา ก็เธอจะสามารถทำเครื่องหมาย คือสัญญาณอะไรไว้ที่มันได้ไหม?
               พระอัครมเหสี สามารถ พระเจ้าข้า.
               พระนางทรงให้นำถาดใส่ชาด คือชาติหิงคุมาได้ เมื่อเวลาชายคนนั้นมาในเวลากลางคืน ร่วมอภิรมย์แล้วจะไป ทรงประทับนิ้วทั้ง ๕ ไว้ที่หลัง แล้วได้กราบทูลพระราชาแต่เช้าทีเดียว.
               พระราชาตรัสสั่งบังคับคนทั้งหลายว่า สูเจ้าทั้งหลายจงไป จงพากันตรวจดูทั่วทุกทิศ แล้วจับชายคนที่มีรอยชาดอยู่บนหลัง. ฝ่ายวิชาธร เมื่อทำอนาจารในเวลากลางคืนแล้ว กลางวันก็ยืนขาเดียวนมัสการพระอาทิตย์อยู่ที่สุสาน. ราชบุรุษทั้งหลายเห็นเขาแล้วจึงพากันล้อมไว้. เขารู้ว่า กรรมของเราปรากฏแล้ว จึงร่ายเวทย์เหาะไปทางอากาศ.
               พระราชาทรงเห็นชายคนนั้นแล้ว จึงตรัสถามราชบุรุษทั้งหลายที่มาแล้วว่า เธอทั้งหลายได้เห็นไหม?
               ราชบุรุษ ได้เห็นพระพุทธเจ้าข้า.
               พระราชา มันชื่ออะไรล่ะ คือใคร.
               ราชบุรุษ เป็นบรรพชิต พระพุทธเจ้าข้า.
               เพราะว่าเวลากลางคืนเขาทำอนาจาร แต่เวลากลางวันเขาอยู่โดยเพศบรรพชิต. พระราชาทรงกริ้วบรรพชิตทั้งหลายว่า บรรพชิตเหล่านี้กลางวันประพฤติโดยเพศสมณะ แต่กลางคืนทำอนาจาร แล้วทรงยึดถือผิดๆ จึงทรงให้ตีกลองประกาศว่า สูเจ้าทั้งหลายจักต้องปฏิบัติตามพระราชโองการ ในที่ๆ ตนได้เห็นแล้ว เห็นแล้วว่า บรรพชิตทั้งหมดจงหนีไปจากอาณาจักรของเรา บรรพชิตทั้งหมดจึงหนีไปจากแคว้นกาสีที่มีที่ ๓๐ โยชน์ได้พากันไปยังราชธานีอื่นๆ.

               สมณะพราหมณ์ผู้ทรงธรรม แม้คนเดียวที่จะให้โอวาทแก่คนทั้งหลายทั่วแคว้นกาสีก็ไม่มี. คนทั้งหลายที่ไม่ได้รับโอวาท ได้เป็นคนหยาบคาย. คนทั้งหลายที่ปล่อยปละละเลยทานและศีลเป็นต้น ตายไปแล้วโดยมาก ก็เกิดในนรก. ขึ้นชื่อว่าจะเกิดในสวรรค์ไม่มีแล้ว.

               ท้าวสักกะเมื่อไม่ทรงเห็นเทพบุตรใหม่ จึงทรงรำลึกว่า มีเหตุอะไรหนอแล? แล้วก็ทรงทราบว่า พระเจ้าพาราณสีทรงพิโรธเพราะอาศัยวิชาธร ทรงไล่บรรพชิตออกจากแว่นแคว้น เพราะทรงเชื่อถือผิด จึงทรงดำริว่า คนอื่นนอกจากเราที่จะสามารถทำลายความเชื่อถือผิดของพระราชาพระองค์นี้ไม่มี และเราจักเป็นที่พึ่งของพระราชาและราษฎรทั้งหลาย แล้วได้เสด็จไปสำนักพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เงื้อมแห่งภูเขาชื่อว่านันทมูลกะ ทรงไหว้แล้วทูลว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าทั้งหลาย จงให้พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เฒ่าองค์หนึ่งแก่กระผม กระผมจักให้ราษฎรชาวกาสีเลื่อมใส.

               ท้าวเธอได้พระสังฆเถระทีเดียว จึงท้าวเธอทรงรับเอาบาตรและจีวรของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ให้ท่านอยู่ข้างหน้าพระองค์เองอยู่ข้างหลัง ทรงแปลงเพศเป็นมาณพรูปหล่อ วางอัญชลีไว้เหนือเศียร นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า เสด็จเที่ยวไปทางเบื้องบนพระนครทั้งหมด ๓ เที่ยว มาถึงประตูพระราชวัง ได้ประทับยืนอยู่บนอากาศ.
               อำมาตย์ทั้งหลายได้กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ มาณพรูปงามคนหนึ่งนำเอาสมณะรูปหนึ่งมา ยืนอยู่บนอากาศตรงประตูพระราชวัง. พระราชาจึงเสด็จลุกจากราชอาสน์ ประทับยืนที่ช่องพระแกล เมื่อทรงเจรจากับด้วยท้าวสักกะนั้นว่า ดูก่อนมาณพ เธอเป็นผู้มีรูปร่างงาม แต่เหตุไฉน จึงยืนถือบาตรและจีวรของสมณะผู้มีรูปร่างขี้เหร่ พลางนมัสการอยู่ดังนี้
 
               ได้ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :-

               เธอผู้มีรูปร่างงาม แต่ให้สมณะรูปร่างขี้เหร่อยู่ข้างหน้า ประคองอัญชลีนมัสการ สมณะรูปนั้นดีกว่าเธอหรือเสมอกันกับเธอ ขอจงบอกทั้งชื่อของตนทั้งชื่อของผู้อื่น คือสมณะ.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อริยวณฺณี ได้แก่ รูปร่างสวยงาม. บทว่า เสยฺโย นุ เต โส ความว่า บรรพชิตรูปร่างขี้เหร่รูปนั้นดียิ่งกว่าเธอหรือเสมอกับเธอ. บทว่า ปรสฺสตฺตโน จ ความว่า พระราชาตรัสถามว่า เธอจงบอกชื่อของผู้อื่นนั้นและของตนเถิด.

               ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสกะพระราชานั้นว่า ข้าแต่มหาราช ขึ้นชื่อว่าสมณะทั้งหลายย่อมเป็นผู้ควรเคารพ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ได้เพื่อเรียกชื่อของท่าน แต่ข้าพเจ้าจักบอกชื่อข้าพเจ้าแก่ท่าน
  
               แล้วตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-

               ข้าแต่มหาราช ทวยเทพอุปัตติเทพจะไม่เอ่ยชื่อและโคตรของเทพทั้งหลายผู้พร้อมเพรียงกัน ผู้ปฏิบัติตรงคือวิสุทธิเทพ แต่ข้าพเจ้าจะบอกชื่อของข้าพเจ้าแก่ท่าน ข้าพเจ้าคือท้าวสักกะผู้เป็นจอมทวยเทพชาวไตรทศ.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมคฺคตานุชฺชุคตาน เทวา ความว่า อุปปัตติเทพทั้งหลายจะไม่แตะต้องชื่อและโคตรของพระมหาขีณาสพทั้งหลาย ผู้ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันแล้ว เพราะพิจารณาสังขารทั้งมวลด้วยอำนาจแห่งกิจตามความเป็นจริงแล้วบรรลุอรหัตผลที่เป็นผลเลิศ และผู้ชื่อว่าดำเนินไปตรงแล้วเพราะดำเนินไปสู่พระนิพพานด้วยมรรคมีองค์  ที่ตรง ผู้เป็นวิสุทธิเทพยอดเยี่ยมกว่าอุปปัตติเทพทั้งหลาย.
               บทว่า อหญฺ จ เต นามเธยฺยํ ความว่า ก็แต่ว่าข้าพเจ้าจักบอกชื่อของตนแก่ท่าน.

               พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การนมัสการภิกษุ ด้วยคาถาที่ ๓ ว่า :-

               ผู้ใดเห็นภิกษุผู้เข้าถึงจรณะ ให้ท่านผู้อยู่ข้างหน้า ประคองอัญชลีนมัสการ ข้าแต่เทวราช ข้าพระองค์ขอถามข้อความนี้กะพระองค์ ผู้นั้นจุติจากโลกนี้ไปแล้ว จะได้รับความสุขอะไร?

               ท้าวสักกะตรัสตอบด้วยคาถาที่ ๔ ว่า :-
 
               ผู้ใดเห็นภิกษุผู้เข้าถึงจรณะ ให้ท่านอยู่ข้างหน้า แม้ประคองอัญชลีนมัสการอยู่ ผู้นั้นจะได้รับการสรรเสริญในปัจจุบัน และจะไปสวรรค์ เพราะร่างกายแตกดับไป.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขุได้แก่ บุคคลผู้บริสุทธิ์เพราะทำลายกิเลสได้แล้ว.
               บทว่า จรณูปปนฺนํ ความว่า ผู้เข้าถึงด้วยศีลและจรณะ. บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม ความว่า ไม่ใช่ว่า จุติจากโลกนี้อย่างเดียวเท่านั้นจึงจะไปสวรรค์ ถึงในอัตภาพนี้ เขาก็ได้รับการสรรเสริญ คือประสบความสุขจากการสรรเสริญ.

               พระราชาทรงสดับเทวคาถาเรื่องของท้าวสักกะแล้ว ทำลายการเชื่อถือผิดได้
 
               พอพระราชหฤทัยได้ตรัสคาถาที่ ๕ ว่า :-

               วันนี้บุญได้เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์แล้วหนอ ที่ข้าพระองค์ได้พบเห็นพระผู้เป็นเจ้า วาสวะ ข้าแต่ท้าวสักกะ ข้าพระองค์เห็นพระภิกษุ และพระองค์แล้ว จะทำบุญหาน้อยไม่.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลกฺขี คือบุญ ได้แก่มิ่งขวัญ มีคำอธิบายไว้ว่า วันนี้ปัญญาที่รู้วิบากของกุศลและอกุศล เกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพระองค์ผู้ฟังพระดำรัสของพระองค์อยู่นั่นแหละ. บทว่า ยํ เป็น เพียงนิบาต. บทว่า ภูตปติมทฺทสํ ความว่า ข้าพระองค์ได้เห็นพระผู้เป็นเจ้า.

               ท้าวสักกะทรงสดับคำนั้นแล้ว เมื่อจะทรงสดุดีบัณฑิต จึงตรัสคาถาที่ ๖ ว่า :-
 
               ควรคบหาผู้มีปัญญา เป็นพหูสต คิดถึงเหตุการณ์มากมายโดยแน่แท้แล ดูก่อนพระราชา พระองค์เห็นภิกษุและหม่อมฉันแล้ว จงทรงทำบุญหาน้อยไม่.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฐานจินฺติตา ความว่า ผู้สามารถคิดถึงเหตุการณ์ได้มากมาย.

               พระราชาทรงสดับเทวดำรัสนั้นแล้ว จึงตรัสคาถาสุดท้ายว่า :-
 
               ผู้ไม่มักโกรธ มีจิตเลื่อมใสเนืองนิตย์ เป็นผู้ควรแก่การขอของแขกทุกคน ข้าแต่จอมเทพ ข้าพระองค์สดับสุภาษิตแล้ว จักทำลายมานะ กราบไหว้ท่านผู้นั้น.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพาติถียาจโยโค ความว่า บรรดาแขกทั้งหลายคืออาคันตุกะทั้งหลายที่มาแล้วทั้งหมด คนเหล่านั้นขอสิ่งใดๆ เขาก็เป็นผู้เหมาะคือสมควรแก่สิ่งนั้นๆ อธิบายว่า ให้อยู่ทุกสิ่งที่ชนเหล่านั้นขอแล้ว. ขอแล้ว บทว่า สุตฺวาน เทวินฺท สุภาสิตานิ ความว่า พระราชาทูลว่า ข้าพระองค์ฟังสุภาษิตของพระองค์แล้ว จักเป็นคนแบบนี้.

               ก็แหละ พระราชา ครั้นตรัสอย่างนี้ก็เสด็จลงจากปราสาท ทรงไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วได้ประทับยืน ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง.
               พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงนั่งคู้บัลลังก์ที่อากาศ แล้วทรงโอวาทพระราชาว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร วิชาธรนั้นไม่ใช่สมณะ ต่อแต่นี้ไปขอพระองค์จงทรงทราบไว้ว่า โลกไม่ว่างเปล่า ยังมีสมณะพราหมณ์ผู้ทรงศีลอยู่ แล้วทรงอวยทาน ทรงศีล ทรงอุโบสถกรรมเถิด.
               ฝ่ายท้าวสักกะประทับยืนอยู่ที่อากาศด้วยอานุภาพของท้าวสักกะ ประทานโอวาทแก่ทวยนครว่า ต่อแต่นี้ไป สูเจ้าทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด แล้วทรงให้ตีกลองป่าวประกาศว่า
               สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้หนีไปแล้ว จงกลับมา.

               จึงท่านทั้ง ๒ คือท้าวสักกะและพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้เสด็จไปยังที่ของตน.
               พระราชาทรงตั้งอยู่ในเทวโอวาทของท้าวสักกะนั้นแล้วได้ทรงทำบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกไว้ว่า
               พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งนั้น ได้ปรินิพพานแล้ว
               พระราชาได้แก่ พระอานนท์
               ส่วนท้าวสักกะได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.


 

               จบ อรรถกถาบัพพชิตวิเหฐกชาดกที่ ๖





ว่าด้วย คราวที่สุนัขดำกินคน



อรรถกถา มหากัณหชาดก
ว่าด้วย คราวที่สุนัขดำกินคน



               พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภความประพฤติประโยชน์แก่สัตวโลก จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า กณฺโห กณฺโห จ โฆโร จ ดังนี้.

               ความพิสดารมีว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งในธรรมสภาพรรณนาถึงพระคุณของพระทศพล ที่ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่สัตวโลกว่า
 
               ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระศาสดาทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นจำนวนมาก ทรงละความผาสุกส่วนพระองค์เสีย ทรงประพฤติประโยชน์แก่สัตวโลกโดยส่วนเดียว จำเดิมแต่บรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณแล้ว ทรงถือบาตรจีวรด้วยพระองค์เอง เสด็จพุทธดำเนินทางสิบแปดโยชน์ ทรงแสดงธรรมจักรแก่พระเถระปัญจวัคคีย์ ในดิถีที่  แห่งปักษ์ ตรัสอนัตตลักขณสูตร ประทานพระอรหัตแก่พระเถระปัญจวัคคีย์ทั้งหมด
               แล้วเสด็จไปอุรุเวลาประเทศ ทรงแสดงพระปาฏิหาริย์สามพันห้าร้อยแก่ชฎิลสามพี่น้อง ให้บรรพชาแล้วพาไปคยาสีสประเทศ ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร ประทานพระอรหัตแก่ชฎิลพันหนึ่ง
               เสด็จไปต้อนรับพระมหากัสสประยะทางสามคาวุต ประทานอุปสมบทด้วยโอวาทสามข้อ
 
               ครั้งหนึ่ง เวลาปัจฉาภัตร เสด็จแต่พระองค์เดียวล่วงมรรคาสิบห้าโยชน์ ให้ปุกกุสาติกุลบุตรตั้งอยู่ในอนาคามิผล เสด็จไปต้อนรับมหากัปปินะ ระยะทางยี่สิบโยชน์ ประทานพระอรหัต
 
               ครั้งหนึ่งเวลาปัจฉาภัตร เสด็จแต่พระองค์เดียวล่วงมรรคาสามสิบโยชน์ ให้พระองคุลีมาลซึ่งเป็นคนหยาบช้าตั้งอยู่ในพระอรหัต ครั้งหนึ่งเสด็จล่วงมรรคาสามสิบโยชน์ โปรดอาฬวกยักษ์ให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ทรงกระทำความสวัสดีแก่กุมารที่จะเป็นอาหารยักษ์
 
               ครั้งหนึ่งเสด็จจำพรรษาในดาวดึงส์พิภพ ให้เทวดาแปดสิบโกฏิบรรลุธรรมาภิสมัย แล้วเสด็จไปพรหมโลก ทำลายทิฏฐิของพวกพรหม ประทานพระอรหัตแก่พวกพรหมหมื่นหนึ่ง เสด็จจาริกไปสามมณฑลตามลำดับปี ประทานสรณะและศีลแก่พวกมนุษย์ที่มีอุปนิสัยสมบูรณ์ ทรงประพฤติประโยชน์มีประการต่างๆ แม้แก่นาคและสุบรรณเป็นต้น.

               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้วประพฤติเป็นประโยชน์แก่สัตวโลกในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์ แม้ในกาลก่อนเมื่อตถาคตยังมีกิเลสมีราคะเป็นต้น ก็ได้ประพฤติเป็นประโยชน์แก่สัตวโลกมาแล้วเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.

               ในอดีตกาล ครั้งพระศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าอุสสินนรราชเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี เมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลื้องมหาชนให้พ้นจากเครื่องผูกพันคือกิเลส ด้วยจตุราริยสัจเทศนา ทำพระนครคือพระนิพพานให้เต็มแล้วเสด็จปรินิพพาน

               ครั้นกาลล่วงมานาน ศาสนาก็เสื่อม ภิกษุทั้งหลายเลี้ยงชีพด้วยการแสวงหาไม่สมควร ทำการเกี่ยวข้องกับพวกภิกษุณีจนมีบุตรธิดา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและพราหมณ์ ต่างละธรรมของตนเสียสิ้น โดยมากพวกมนุษย์ประพฤติอกุศลกรรมบถสิบ ผู้ที่ตายไปๆ จึงไปอัดแน่นกันอยู่ในอบาย.

               ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชไม่เห็นเทวบุตรใหม่ๆ จึงตรวจดูมนุษยโลก ก็ทรงทราบว่า พวกมนุษยโลกไปเกิดในอบาย ทรงเล็งเห็นความที่ศาสนาของพระศาสดาเสื่อมโทรม ทรงดำริว่า จักทำอย่างไรดีหนอ ทรงเห็นอุบายมีอยู่อย่างหนึ่ง จึงตกลงพระทัยว่า เราจักต้องทำให้มหาชนกลัว สะดุ้งหวาดเสียว แล้วค่อยปลอบโยนแสดงธรรม ยกย่องพระศาสนาที่เสื่อมแล้วให้ถาวรต่อไปได้อีกพันปี รับสั่งให้มาตลีเทพบุตรแปลงเพศเป็นสุนัขดำใหญ่เท่าม้าอาชาไนย มีรูปร่างดุร้าย มีเขี้ยวโตเท่าผลกล้วย มีรัศมีร้อนเป็นไฟ พลุ่งออกจากเขี้ยวทั้งสี่ รูปพิลึกน่าสะพรึงกลัว หญิงมีครรภ์เห็นเข้าอาจแท้งลูก มีเชือกผูกอยู่ห้าแห่งคือที่เท้าทั้งสี่และที่คอ บนศีรษะประดับพวงดอกไม้แดง
 
               ท้าวสักกะแปลงเพศเป็นนายพรานป่า นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด มุ่นผมข้างหน้าไว้ข้างหลังแล้วประดับพวงดอกไม้แดง มือขวาถือปลายเชือกที่ผูกสุนัข มือซ้ายถือธนูใหญ่มีสายมีสีดังแก้วประพาฬ กวัดแกว่งวชิราวุธด้วยพระนขา เหาะลงในที่ห่างพระนครโยชน์หนึ่ง ส่งเสียงขึ้นสามครั้งว่า มนุษย์ผู้เจริญทั้งหลาย โลกจักพินาศทำให้มนุษย์ทั้งหลายหวาดเสียว แล้วไปชานพระนครส่งเสียงขึ้นอีก
 
               พวกมนุษย์เห็นสุนัขนั้นก็หวาดเสียวพากันเข้าพระนคร กราบทูลความเป็นไปให้พระราชาทรงทราบ พระราชารับสั่งให้ปิดพระนครโดยด่วน ท้าวสักกะได้โดดข้ามกำแพงสูงสิบแปดศอก เข้าไปข้างในพระนครพร้อมกับสุนัข พวกมนุษย์กลัวสะดุ้งหวาดเสียว ต่างก็หนีเข้าเรือนปิดประตู ฝ่ายสุนัขดำใหญ่ก็วิ่งไล่พวกมนุษย์ที่ตนได้เห็น ทำให้พวกมนุษย์หวาดเสียวไปพระราชนิเวศน์.
 
               พวกมนุษย์ที่พระลานหลวงพากันหนีไปด้วยความกลัวเข้าพระราชนิเวศน์แล้วปิดพระทวาร แม้พระเจ้าอุสสินนรราชก็พานางสนมทั้งหลายขึ้นปราสาท สุนัขดำใหญ่ยกเท้าหน้าขึ้นเกาะบานประตูแล้วเห่าลั่น เสียงที่สุนัขเห่าดังสนั่นเบื้องล่างถึงอเวจี เบื้องบนถึงภวัครพรหม สกลจักรวาลสะเทือนทั่วถึงกันหมด
 
               เสียงดังเช่นนี้ได้มีในชมพูทวีปสามครั้ง คือ
                 เสียงของพระเจ้าปุณณกราช ใน ปุณณกชาดก ครั้งหนึ่ง
                 เสียงของพระยาสุทัศนนาคราช ใน ภูริทัตชาดก ครั้งหนึ่ง และ
                 เสียงในมหากัณหชาดกนี้ครั้งหนึ่ง
 
               ชาวพระนครพากันกลัวสะดุ้งหวาดเสียว แม้บุรุษคนหนึ่งก็ไม่อาจมาเจรจากับท้าวสักกะได้.
 
               พระราชาเท่านั้นดำรงพระสติไว้มั่นคง เยี่ยมพระแกล เรียกท้าวสักกะมาตรัสว่า ดูก่อนนายพรานผู้เจริญ สุนัขของท่านเห่าเพื่ออะไร.
               ท้าวสักกะตอบว่า เห่าด้วยความหิว
               พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เราจักให้ข้าวแก่สุนัข แล้วรับสั่งให้ให้ข้าวที่หุงไว้สำหรับคนในราชสำนักและสำหรับพระองค์ทั้งหมด สุนัขได้ทำข้าวทั้งหมดนั้นเหมือนกะเป็นข้าวคำเดียว แล้วก็เห่าขึ้นอีก
               พระราชาตรัสถามอีก ทรงสดับว่า บัดนี้สุนัขของเรายังหิวอยู่ จึงรับสั่งให้นำอาหารที่หุงไว้สำหรับช้างม้าเป็นต้นทั้งหมดมาให้ สุนัขได้กินคำเดียวหมดเหมือนกัน รับสั่งให้ให้อาหารที่หุงไว้สำหรับพระนครทั้งสิ้น สุนัขได้กินอาหารนั้นโดยทำนองนั้นแหละ แล้วก็เห่าขึ้นอีก
               พระราชาทรงตกพระทัยสะดุ้งกลัว ทรงดำริว่า นี่เห็นจะไม่ใช่มนุษย์ ต้องเป็นยักษ์โดยไม่ต้องสงสัย เราจะถามเหตุที่มาของนายพรานนี้
 
               เมื่อจะตรัสถามได้ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า

               ดูก่อนท่านผู้มีความเพียร สุนัขตัวนี้ดำจริง ดุร้าย มีเขี้ยวขาว มีความร้อนพุ่งออกจากเขี้ยว ท่านผูกไว้ด้วยเชือกถึง ๕ เส้น สุนัขของท่านจะทำอะไร.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กณฺโห กณฺโห ความว่า เปล่งเสียงซ้ำด้วยอำนาจความกลัว หรือด้วยอำนาจกรรมอันมั่น. บทว่า โฆโร ได้แก่ ให้เกิดความกลัวแก่ผู้ได้พบเห็น. บทว่า ปตาปวา ความว่า มีแสงร้อน ด้วยความร้อนแห่งรัศมีที่พลุ่งออกมาจากเขี้ยวทั้งหลาย. บทว่า กึ วีร ความว่า พระราชาตรัสอย่างนั้นด้วยทรงพระประสงค์ว่า ดูก่อนท่านผู้มีความเพียร สุนัขตัวดุร้ายของท่านเห็นปานนี้นั้น ทำอะไร มันจับมฤคกินหรือจับอมิตรให้ท่าน ท่านจะประโยชน์อะไรด้วยสุนัขตัวนี้ จงปล่อยมันไปเถิด.

               ท้าวสักกะได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า
 
               ดูก่อนพระเจ้าอุสินนระ สุนัขนี้มิได้มาเพื่อต้องการกินเนื้อ แต่เพื่อจะกินมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อใดจักมีมนุษย์ทำความพินาศให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินมนุษย์.

               คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ก็สุนัขตัวนี้มิได้มาในที่นี้ด้วยหวังว่า จะกินเนื้อมฤค เพราะฉะนั้นจะไม่มีประโยชน์สำหรับพวกมฤค แต่มาเพื่อจะกินเนื้อมนุษย์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะทำความฉิบหายความพินาศให้แก่มนุษย์เหล่านั้น เมื่อใด ผู้นั้นทำพวกมนุษย์ให้ถึงความพินาศ เมื่อนั้น สุนัขดำนี้ย่อมหลุด คือจักหลุดจากมือของเราไปกินผู้นั้น.

               ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามท้าวสักกะว่า ดูก่อนนายพรานผู้เจริญ สุนัขดำของท่านจักกินเนื้อมนุษย์ทุกคน หรือว่าจักกินแต่ผู้ที่มิใช่มิตรของท่านเท่านั้น
               ท้าวสักกะตอบว่า ดูก่อนพระราชาผู้ใหญ่ สุนัขจักกินเนื้อมนุษย์ที่มิใช่มิตรของเราเท่านั้น.
               คนเช่นไร ที่มิใช่มิตรของท่านในที่นี้.
               คนที่ไม่ยินดีในธรรม มีความประพฤติไม่เรียบร้อย ชื่อว่าผู้มิใช่มิตร.
               ขอท่านจงกล่าวลักษณะคนเหล่านั้นให้เราทราบก่อน.
 
               ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะตรัสบอกแก่พระราชา ได้ตรัสพระคาถาสิบคาถาว่า

               ผู้ที่ปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะมีบาตรในมือ มีศีรษะโล้น คลุมผ้าสังฆาฏิ ทำไร่ไถนาเลี้ยงชีพ คนเหล่านี้เป็นคนทุศีล มิใช่มิตรของเรา สุนัขของเราจักฆ่ากินเนื้อได้เมื่อใด สุนัขดำจะหลุดจากเชือกห้าเส้นไป เมื่อนั้น.

               เมื่อใด จักมีหญิงผู้ปฏิญาณตนว่ามีตบะ บวชมีศีรษะโล้น คลุมผ้าสังฆาฏิ เที่ยวบริโภคกามคุณอยู่ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินหญิงเหล่านั้น.

               เมื่อใด ชฎิลทั้งหลายมีหนวดอันยาว มีฟันเขลอะ มีศีรษะเกลือกกลั้วด้วยธุลีเที่ยวภิกขาจาร รวมทรัพย์ไว้ให้กู้ ชื่นชมยินดีด้วยดอกเบี้ยเลี้ยงชีพ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินชฎิลเหล่านั้น.

               เมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลายเรียนเวทคือสาวิตติศาสตร์ ยัญญวิธีและยัญญสูตร แล้วรับจ้างบูชายัญ เมื่อนั้น สุนัขดำเหล่านี้จะหลุดไปกินพราหมณ์เหล่านั้น.

               เมื่อใด ผู้มีกำลังสามารถจะเลี้ยงดูมารดาบิดาได้ แต่ไม่เลี้ยงดูมารดาบิดาผู้แก่เฒ่าชรา เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินคนเหล่านั้น.

               อนึ่ง เมื่อใด ชนทั้งหลายจักกล่าวดูหมิ่นมารดาบิดาผู้แก่เฒ่าชราว่า เป็นคนโง่เง่า เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินคนเหล่านั้น.

               อนึ่ง เมื่อใด คนในโลกจะคบหาภรรยาของอาจารย์ ภรรยาเพื่อน ป้าและน้าเป็นภรรยา เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินคนเหล่านั้น.

               เมื่อใด พวกพราหมณ์จักถือโล่และดาบ คอยดักอยู่ที่ทางฆ่าคนชิงเอาทรัพย์ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินพราหมณ์เหล่านั้น.

               เมื่อใด นักเลงหญิงทั้งหลาย ขัดสีผิวกายบำรุงร่างกายให้อ้วนพี ไม่รู้จักหาทรัพย์ ร่วมสังวาสกับหญิงหม้ายที่มีทรัพย์ ครั้นใช้สอยทรัพย์ของหญิงหม้ายนั้นหมดแล้ว ก็ทำลายมิตรภาพไปหาหญิงอื่นต่อไป เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินนักเลงหญิงเหล่านั้น.

               เมื่อใด คนผู้มีมารยา ปกปิดโทษตน เปิดเผยโทษผู้อื่น คิดให้ทุกข์ผู้อื่น มีความคิดอย่างอสัตบุรุษอยู่ในโลก เมื่อนั้น สุนัขดำจะหลุดพ้นจากเชือก ๕ เส้นไปกินคนเหล่านั้นทั้งหมด.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมณกา ความว่า ท้าวสักกเทวราชตรัสอย่างนี้โดยโวหารว่าละอายเพียงปฏิญาณตนว่า เราเป็นสมณะ. บทว่า กสิสฺสนฺติ ความว่า คนเหล่านั้นย่อมทำไร่ไถนาเลี้ยงชีพอย่างเดียว แม้ในเวลานั้น ก็ท้าวสักกะทำเป็นเหมือนไม่รู้จึงกล่าวอย่างนี้. จริงอยู่ ท่านมีประสงค์ดังนี้ว่า คนเหล่านี้ คือเห็นปานนี้ เป็นคนทุศีล ไม่ใช่เป็นมิตรของเรา เมื่อใด สุนัขของเราจักฆ่ากินเนื้อคนเหล่านี้ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ ย่อมหลุดพ้นจากเชือก ๕ เส้นนี้.

               ด้วยอุบายนี้ พึงทราบประกอบอธิบายในคาถาทั้งปวง.

               บทว่า ปพฺพชิตา ได้แก่ เป็นผู้บวชในพระพุทธศาสนา. บทว่า คมิสฺสนฺติ ความว่า เที่ยวบริโภคกามคุณ ๕ ในท่ามกลางเรือน. บทว่า ทีฆุตฺตโรฏฺฐา ความว่า ชื่อว่า มีริมฝีปากสูงยาว เพราะมีเขี้ยวโต. บทว่า ปงฺกทนฺตา ได้แก่ ฟันประกอบด้วยมลทินดังเปือกตม. บทว่า อิณํ โมทาย ความว่า รวบรวมทรัพย์ด้วยภิกขาจารประกอบหนี้ด้วยความเจริญ ยินดีการทำเช่นนั้น เลี้ยงชีพด้วยทรัพย์ที่ได้มาจากภิกขาจารนั้นไปในกาลใด. บทว่า สาวิตฺตึ ได้แก่เรียนเวทคือสาวัตติศาสตร์. บทว่า ย
ํ ตตฺรฺจ ได้แก่ เรียนยัญญวิธี และยัญญสูตรในที่นั้น. บทว่า ภติกาย ความว่า พวกพราหมณ์เหล่านั้นเข้าไปหาพระราชาและราชมหาอำมาตย์ แล้วบูชายัญเพื่อต้องการค่าจ้างอย่างนี้ว่า เราจักบูชายัญเพื่อท่าน ท่านจงให้ทรัพย์แก่เรา. บทว่า ปหุสนฺตา ความว่า เป็นผู้สามารถเพื่อพอกเลี้ยง.

               บทว่า พาลา ตุมฺเห ความว่า คนพาลทั้งหลายกล่าวคำเป็นต้นว่า ท่านทั้งหลายไม่รู้อะไร. บทว่า คมิสฺสนฺติ ความว่า จักไปด้วยอำนาจการเสพโมกขธรรม. บทว่า ปนฺถฆาฏํ ความว่า ยืนอยู่ในทางเปลี่ยว แล้วปล้นฆ่าพวกมนุษย์ ยึดเอาสิ่งของๆ พวกมนุษย์เหล่านั้น. บทว่า สุกฺกจฺฉวี ความว่า นักเลงหญิงทั้งหลายตบแต่งด้วยการขัดสีด้วยจุณน้ำฝาดเป็นต้น มีผิวพรรณขาว. ในบทว่า เวธเวรา ที่ชื่อว่านักเลงหญิงเพราะอรรถว่าประพฤติเป็นเวรกับหญิงหม้าย คือหญิงผัวตายเหล่านั้น. บทว่า ถูลพาหุ ความว่า มีร่างกายอ้วนพีด้วยการบำรุงร่างกายเป็นต้น มีการนวดขยำเท้าเป็นต้น. บทว่า อปาตุภา ความว่า เพราะไม่ปรากฏ คือเพราะไม่ทำทรัพย์ให้เกิด.

               บทว่า มิตฺตเภทํ แปลว่า ทำลายมิตร. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. ท่านกล่าวอธิบายคำนี้ไว้ว่า เมื่อใดนักเลงหญิงเห็นปานนี้คิดว่า หญิงเหล่านี้จักไม่ละพวกเรา จึงเข้าไปหาหญิงหม้ายผู้มีเงินร่วมสังวาสกัน เคี้ยวกินทรัพย์ของหญิงเหล่านั้น จักทำลายมิตรกับหญิงเหล่านั้น ทำลายความคุ้นเคยไปหาหญิงอื่นผู้มีทรัพย์ เมื่อนั้น สุนัขดำนี้จะหลุดไปกินคนเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นโจร.

               บทว่า อสปฺปุริสจินฺติกา ความว่า มีปกติคิดอย่างอสัตบุรุษ คือคิดทำร้ายผู้อื่น.

               เมื่อนั้น สุนัขดำหลุดออก ฆ่าพวกเหล่านั้นหมด กัดกินเนื้อแล.

               ก็แหละครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะได้ตรัสว่า ดูก่อนมหาราช คนเหล่านี้ไม่ใช่มิตรของเรา แล้วทรงแสดงสุนัขทำเป็นอยากจะวิ่งไปกัดพวกอธรรมนั้นๆ ขณะนั้น มหาชนมีจิตหวาดกลัว ท้าวสักกะทำเป็นฉุดเชือกรั้งสุนัขไว้ แล้วละเพศนายพราน เหาะขึ้นไปในอากาศดังดวงอาทิตย์แรกขึ้น รุ่งเรืองอยู่ด้วยอานุภาพของพระองค์ แล้วตรัสว่า
               ดูก่อนมหาราช เราคือท้าวสักกเทวราช มาด้วยเห็นว่าโลกนี้จักพินาศ เพราะเดี๋ยวนี้ มหาชนพากันประมาทประพฤติอธรรม ตายไปๆ แออัดอยู่ในอบาย เทวโลกดุจว่างเปล่า ตั้งแต่นี้ไป เราจักรู้สิ่งที่ควรทำสำหรับผู้ไม่ประพฤติธรรม ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิดพระมหาราช
               แล้วทรงแสดงธรรมด้วยพระคาถาที่มีค่าตั้งร้อยสี่พระคาถาให้มนุษย์ทั้งหลายตั้งอยู่ในธรรมและศีล ทำพระศาสนาที่เสื่อมโทรมให้สามารถเป็นไปได้อีกพันปี แล้วพามาตลีเสด็จไปยังพิมานของพระองค์.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดง แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราประพฤติประโยชน์แก่โลก แม้ในกาลก่อนอย่างนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า
               มาตลีเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์
               ส่วนท้าวสักกะได้มาเป็น เราตถาคต แล.

 

               จบอรรถกถามหากัณหชาดกที่ ๖





Wednesday, October 27, 2010

ดอกบัวสามเหล่ากับบุคคลสี่จำพวก



ดอกบัวสามเหล่ากับบุคคลสี่จำพวก


มีคนมาถามว่าการที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบบุคคลกับดอกบัวสี่เหล่านั้น มาจากพระไตรปิฎกเล่มไหน คำถามนี้ดูเหมือนกับว่าผู้ถามจะเชื่ออย่างสนิทใจว่าพระพุทธเจ้าทรงเปรียบ เทียบบุคคลกับดอกบัวสี่เหล่าจริง ความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งคงได้มาจากหลักสูตรนักธรรมชั้นโทเป็นแน่ เมื่อตอบไปว่าดอกบัวมีเพียงสามเหล่า คนถามแสดงอาการว่าเริ่มจะไม่เห็นด้วยกับคำตอบที่ได้รับ  

เมื่อเห็นอาการจึงได้เปิดพระไตรปิฎกมาอ้างว่าที่มาของดอกบัวสามเหล่านั้นมาจากพระ วินัยไตรปิฎก มหาวรรค(4/9/11)ความว่าเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆนั้น ทรงเกิดปริวิตกว่าธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นมีความลึกซึ้งยากที่คนจะเข้าใจ จนกระทั่งท้าวสหัมบดีพรหมได้กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพราะสัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีในจักษุน้อยมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมยังมีอยู่  

ในตอนนั้นพระพุทธเจ้าได้ ทรงพิจารณาสัตวโลกเปรียบด้วยดอกบัว ความว่า พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำทูลอาราธนาของพรหม และทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีคือกิเลส ในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุมากก็มี ที่มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี ที่มีอาการดีก็มี ที่มีอาการทรามก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี  มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริก ที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้วจึงได้รับอาราธนาสหัมบดีพรหมเพื่อที่จะแสดงธรรมแก่สรรพ สัตว์  

ข้อความที่ปรากฎในพระวินัยตอนนี้ทรงเปรียบบุคคลด้วยดอกบัวสามเหล่าคือบางเหล่า จมน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ แต่คนส่วนมากมักจะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทรงเปรียบ เทียบบุคคลเหมือนกับดอกบัวสี่เหล่า เพราะในหลักสูตรนักธรรมชั้นโทได้แสดงว่าบุคคลสี่ประเภทไว้ซึ่งเป็นข้อความ ที่มาจากอังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต (2/133/183) ความว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลสี่จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลกคือ(1) อุคฆฏิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมแต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง (2) วิปจิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมต่อเมื่อท่านอธิบายความแห่งหัวข้อนั้น (3) เนยยะ ผู้พอแนะนำได้ (4) ปทปรมะ ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง  ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลสี่จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก” 

ในอุคฆฏิตัญญุสูตร  อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต (21/133/350) ก็ได้แสดงว่าด้วยบุคคลสี่จำพวกความว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลสี่จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลกคืออุคฆปฏิตัญญู บุคคล วิปจิตัญญูบุคคล เนยยบุคคล ปทปรมบุคคล"  

ต้องแยกประเด็นกันระหว่างดอกบัวกับบุคคล เนื้อหาในพระไตรปิฎกไม่ได้เปรียบเทียบกันแต่อย่างใด แยกกันแสดงคนละครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกัน ส่วนการเปรียบเทียบกันนั้นมีปรากฎในอรรถกถาหลายครั้ง หลายหน ดังที่แสดงในอรรถกถาพระ สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม 2 ภาค 1 หน้าที่ 148 ได้เปรียบเทียบบุคคลสี่จำพวกกับดอกบัวสี่เหล่าความว่าบุคคลสี่จำพวกคืออุคฆฏิตัญญู  วิปจิตัญญู  เนยยะ   ปทปรมะ ก็เปรียบเหมือนดอกบัวสี่เหล่านั้นแล  ในบุคคลสี่จำพวกนั้น  (1) อุคฆฏิตัญญู  ได้แก่บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมพร้อมกับเวลาที่ท่านยกขึ้นแสดง   (2) วิปจิตัญญู ได้แก่บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมเมื่อท่านแจกความแห่งคำย่อโดยพิสดาร  (3) เนยยะ ได้แก่บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับด้วยความพากเพียรท่องจำ ด้วยการไต่ถาม ด้วยทำไว้ในใจโดยแยบคาย  ด้วยคบหาสมาคมกับกัลยาณมิตร   (4) ปทปรมะ ได้แก่บุคคลที่ไม่ตรัสรู้ธรรมได้ในชาตินั้นแม้เรียนมาก ทรงไว้มาก สอนเขามาก

 อรรถกถาได้อธิบายต่อไปว่า ในบทนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูหมื่นโลกธาตุเช่นกับ ดอกบัว ได้ทรงเห็นแล้วว่าบุคคลจำพวกอุคฆฏิตัญญู ดุจดอกบัวจะบานในวันนี้  บุคคลจำพวกวิปจิตัญญู ดุจดอกบัวจักบานในวันพรุ่งนี้  บุคคลจำพวกเนยยะดุจดอกบัวจักบานในวันที่สาม และบุคคลจำพวกปทปรมะดุจดอกบัวอันเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า

พระ ผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงตรวจดูได้ทรงเห็นโดยอาการทั้งปวงอย่างนี้ว่าสัตว์มี กิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย มีประมาณเท่านี้  สัตว์มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุมากมีประมาณเท่านี้ แม้ในสัตว์เหล่านั้นจำพวกที่เป็น อุคฆฏิตัญญู มีประมาณเท่านี้ ในสัตว์สี่จำพวกนั้น การแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่บุคคลสามจำพวกใน อัตภาพนี้แล พวกปทปรมะจะมีวาสนาเพื่อประโยชน์ในอนาคต" 

อีกแห่งหนึ่งมีคำอธิบายใน อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 2 หน้าที่ 452  ความว่า ในดอกอุบลเหล่านี้ เหล่าใดขึ้นพ้นน้ำรออยู่เหล่านั้น  คอยรับสัมผัสแสงอาทิตย์จะบานในวันนี้ เหล่าใดตั้งอยู่เสมอน้ำ เหล่านั้นก็จะ บานในวันพรุ่งนี้ เหล่าใดจมเหล่านั้นก็จักเป็นภักษาของปลาและเต่าอย่าง เดียว ดอกบัวเหล่านั้นท่านแสดงไว้ยังไม่ขึ้นสู่บาลีก็พึงแสดง    เหมือนอย่างว่า   ดอกไม้สี่อย่างเหล่านั้นฉันใด บุคคลสี่จำพวกคืออุคฆฏิตัญญู วิปัจจิตัญญู  เนยยะ  ปทปรมะ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ในบุคคล ๔ เหล่านั้น บุคคลใดตรัสรู้ธรรมพร้อมกับเวลายกหัวข้อธรรม  บุคคลนี้ท่านเรียกว่า  อุคฆฏิตัญญู  บุคคลใดตรัสรู้ธรรมเมื่อท่านแจกอรรถแห่งภาษิตสังเขปได้โดยพิสดาร บุคคลนี้ท่านเรียกว่า  วิปัจจิตัญญู  บุคคลใดใส่ใจโดยแยบคายทั้งโดยอุเทศทั้งโดยปริปุจฉา ซ่องเสพคบหาเข้าใกล้กัลยาณมิตรจึงตรัสรู้ธรรมบุคคลนี้ท่านเรียกว่า เนยยะ บุคคลใด  ฟังมากก็ดี  กล่าวมากก็ดี ทรงจำมากก็ดี  สอนมากก็ดี  ก็ยังไม่ตรัสรู้ธรรมในชาตินั้น บุคคลนี้ท่านเรียกว่า  ปทปรมะ

บรรดาบุคคลเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูหมื่นโลกธาตุ   ซึ่งเป็นเสมือนดอกบัวเป็นต้น   ก็ได้ทรงเห็นว่าอุคฆฏิตัญญู เปรียบเหมือนดอกไม้บานในวันนี้  วิปัจจิตัญญู เปรียบดอกไม้บานในวันพรุ่งนี้ เนยยะเปรียบเหมือนดอกไม้บานในวันที่สาม ปทปร มะ เปรียบเหมือนดอกไม้ที่เป็นภักษาของปลาและเต่า  ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงเห็น ก็ทรงเห็นโดยอาการทุกอย่างอย่างนี้ว่า สัตว์มีประมาณเท่านี้ มีกิเลสธุลีในปัญญาจักษุน้อย เหล่านี้มีกิเลสธุลีในปัญญาจักษุมาก บรรดาสัตว์เหล่านั้น พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมให้สำเร็จประโยชน์ในอัตภาพนี้เท่า นั้นแก่บุคคลสามประเภท ในจำนวนบุคคลเหล่านั้นปทปมะ มีวาสนาเพื่อประโยชน์ในอนาคตกาล

ในอรรถกถาพระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาตเล่ม 1 ภาค 1 หน้าที่ 373   พระโสณโกฬวิสเถระกระทำความเพียรอย่างหนักแต่ก็ยังไม่บรรลุธรรมะจึงได้คิดว่า เราไม่ใช่อุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือไม่ใช่วิปจิตัญญูบุคคล ไม่ไช่ไนยบุคคล  เราพึงเป็นปทปรมบุคคลแน่แท้  เราจะประโยชน์อะไรด้วยบรรพชา เราจะสึกออกไปบริโภคโภคะและกระทำบุญ    ในที่สุดพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสบอกกัมมัฏฐานแก่พระเถระเพื่อให้ประกอบความ เพียรเพลา ๆ ลงบ้าง  ฝ่ายพระโสณเถระได้พระโอวาทในที่ต่อพระพักตร์ของพระทศพล ไม่นานนักก็ตั้งอยู่ในพระอรหัตตผล  ต่อมาภายหลังพระศาสดาทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ ปรารภความเพียร

ในพระไตรปิฎกกับอรรถกถาเนื้อหามิได้แตกต่างกัน แม้ในครั้งแรกพระพุทธเจ้าจะทรงแสดงดอกบัวไว้สามเหล่า แต่ได้แสดงบุคคลไว้สี่จำพวก เมื่อนำมาอธิบายเปรียบเทียบกับดอกบัว พระอรรถกถาจารย์ก็อาจจะเล็งเห็นว่าดอกบัวประเภทสุดท้ายคือประเเภทที่สี่ ยังไม่ได้ผุดขึ้นมาจากดิน พระพุทธเจ้าจึงมิได้ยกขึ้นมาแสดงไว้ พระอรรถกถาจารย์ท่านก็บอกไว้เหมือนกันจากหลักฐานมาจากคำว่า "ดอกบัวเหล่าใดจมก็จักเป็นภักษาของปลาและเต่าอย่างเดียว ดอกบัวเหล่านั้น ท่านแสดงไว้ยังไม่ขึ้นสู่บาลี" คำว่า "ไม่ยกขึ้นสู่บาลี"หมายถึงไม่ได้แสดงในพระไตรปิฎก ดังนั้นคนประเภทสุดท้ายคือผู้ที่สอนไม่ได้ก็เหมือนกับดอกบัวที่ยังไม่ได้เกิดนั่นแล ใครที่มีหลักฐานอื่นนอกไปจากนี้ขอเชิญวิพากย์วิจารณ์ได้ ยังมิได้สรุปความคิดและมิได้สงวนความเห็นแต่ประการใด 

          ตั้งใจว่าจะเขียนสั้นๆ แต่พอเขียนแล้วยาวขึ้นทุกที น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มเนยยะคือพอจะแนะนำได้ จึงได้รู้จักกับพระพุทธศาสนา แต่บุคคลประเภทปทปรมะนั้นสอนไม่ได้แนะนำไม่ได้ เกิดมาเป็นมนุษย์เสียเวลาไป โดยไร้ประโยชน์ 



พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
เรียบเรียง
02/03/53






สวดภาณยักข์


สวดภาณยักข์

คุณลุงเจ้าคะ หนูเคยไปกับแม่ไปที่วัด ๒-๓ แห่งด้วยกัน เมื่อปีที่แล้ว ปรากฏวัดทั้งหลายเหล่านั้นมีพิธีกรรม สวดภาณยักข์ แต่ผลพิธีกรรมสวดภาณยักข์ ไม่ค่อยจะเหมือนกัน วัดแรกมีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะว่า เวลาสวดภาณยักข์จริงๆ เสียงพระที่สวดน่ากลัวมาก เสียงกระแทกกระทั้น เสียงดังกึกก้อง ตกใจ หนูเองฟังแล้วยังหวั่นไหวในเสียงของพระ แต่สิ่งที่อัศจรรย์คือว่า คนที่นั่งในศาลาทั้งหมด ทีแรกก็นั่งกันเงียบ พอพระสวดถึงบทตอนสำคัญ เสียงกระแทกกระทั้นมาก ๆ หนักเข้า คนบางคนหรือหลายๆ คน ลุกขึ้นวิ่งบ้าง บางคนก็นอนดิ้น ร้องบ้าง ดิ้นแล้วก็ร้อง ร้องแล้วก็ดิ้น บางคนก็สิ่งไป บางคนก็ชัก ดิ้นพราดๆ

ในที่สุด เมื่อพระสวดจบ คนทั้งหลายเหล่านั้น ก็สงบและทุกคนก็บอกว่า มีความสุข บางคนก็บอกว่า คล้ายๆ กับอะไรออกจากร่างกาย ซู่ซ่า บางคนออกอย่างแรง บางคนก็ออกเรียบๆ แต่ว่าในที่สุด ทุกคนบอกว่า มีความสุขหมด มีความสบายมาก หนูอยากจะทราบความเป็นมาจริงๆ ของเรื่องภาณยักข์ คำว่า ภาณยักข์ นี่หมายความว่าอะไร คือว่า เขาพูดกัน ๒ คำ ภาณยักข์ ด้วย และก็ภาณพระ ด้วย หนูมาเห็นลุงทั้งสองคือ ท่านลุงวิรุฬหกก็ดี ท่านลุงท้าวเวสสุวัณก็ดี ท่านทั้งสองในตอนต้นท่านเป็นยักข์ แสดงตัวโตๆ ใหญ่ หน้าตาใหญ่ ดุดัน ฉะนั้นคำว่า ภาณยักข์ เป็นพานใส่ของของยักข์ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านลุงเวสสุวัณฟังแล้วก็ยิ้ม บอกว่า หลาน คำว่า ภาณยักข์ เป็นภาษาบาลี ไม่ใช่ภาษาไทย บาลีน่ะ ภาณ ตัวนี้แปลว่า พูด ยักข์ ก็คือ ยักข์ คำว่า ภาณยักข์ แปลว่า ยักข์พูด
ต่อมาในตอนที่สอง เรียกว่า ภาณพระ ภาณพระ ก็คือ ตอนพระพูด

จุไรก็ถามว่า ความเป็นมาจริงๆ ของเรื่อง การสวดมนต์ภาณยักข์ กับภาณพระ เป็นอย่างไรเจ้าคะ เห็นพระท่านสวดกันยาวมาก ท่านลุงก็บอกว่า การที่พระสวดยาว ๆ เป็นการเล่าเรื่องในตอนต้นให้ฟัง เล่าความเป็นมาของภาณยักข์ ตอนยักข์พูด และตอนภาณพระ ตอนพระพูด แต่ตอนบทจริง ๆ ที่ใช้เนื่องในการภาณยักข์หรือภาณพระ นี่ก็คือบท วิปัสสิส ใน ๗ ตำนาน บทนี้บรรดาพระเณรทั้งหลายในวัดได้กันหมด หรือคนที่รักษาศีลอุโบสถ ที่เขาอยู่วัดกัน เขาก็สวดกันได้

บทวิปัสสิสนี้ สวดแล้วมีผลอย่างไรเจ้าคะ ลุงก็บอกว่า บทวิปัสสิส เป็นบทสวด แสดงความเคารพพระพุทธเจ้า เป็นต้น แต่ว่าบุคคลใด ถ้าสวดไว้ เจริญไว้ ต้องสวดต้องเจริญแบบปกตินะ ไม่ใช่สวด ไม่ใช่เจริญแบบประเภทไล่ผี ขับผี ถ้ามีเจตนาร้าย ผีจะเกลียด

ถ้าสวดไว้เป็นแบบปกติ ผีจะไม่รบกวน เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ จะไม่รบกวน เธอก็บอกว่า สวดอย่างไรเจ้าคะ สวดตามปกติ สวดด้วยความเคารพ ท่านก็เลยบอกว่า ก่อนที่จะสวด ก็ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย พระธรรมด้วย พระอริยสงฆ์ด้วย เทวดา กับพรหมทั้งหมดด้วย และก็สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าเป็นต้น เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น หนูก็อยากจะทราบความเป็นมา บทวิปัสสิส นี่ ถ้าไปถามพระองค์ไหน องค์นั้นก็รู้ใช่ไหมเจ้าคะ

ท่านลุงก็บอกว่า ใช่ เธอก็ถามว่า ความเป็นมาจริงๆ เป็นมาอย่างไร ท่านลุงจะเล่าให้ฟังได้ไหม ท่านลุงก็บอก ถ้าหลานต้องการจะฟังลุงจะเล่าให้ฟัง คือ บทภาณยักข์ หรือภาณพระ นี่เป็นเรื่องความเป็นมาของลุงเอง ท่านก็เล่าความเป็นมาว่า ความเป็นมาจริงๆ มีอย่างนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท คนที่หวังมรรค หวังผล มีความสุข หวังไม่ต้องการความเกิด แก่ ตาย ในวันหน้า หมายความว่าร่างกายนี้ตายแล้วก็แล้วกัน ไปนิพพาน จะถึงนิพพาน หรือยังไม่ถึงก็ตาม ก็ตั้งใจปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพ ทุกคนเมื่อปฏิบัติตามนี้ มักจะนั่งในที่สงัด อยู่ในป่าชัฏบ้าง อยู่ในป่าช้าบ้าง อยู่ในเรือนว่างเปล่า อย่างนี้เป็นต้น

แต่ว่าเมื่อคนทั้งหลายตั้งใจทำความดีเพื่อตัดกิเลสแบบนี้ ก็ยังมีบรรดาภูติผีทั้งหลายก็ดี เทวดาบางพวกก็ดีที่ไม่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เขาจะกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า เขาก็ทำไม่ได้ ก็เลยหาทางกลั่นแกล้งลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า คือ คนที่ปฏิบัติความเพียร อยู่ในที่สงัด เข้าไปแสดงตัวให้ปรากฏบ้าง ส่งเสียงร้องคำรามบ้าง ทำให้กลัว หรือนั่งใกล้ ๆ ทำให้ขนลุกซูซ่า ทำให้กลัวบ้างอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเหล่านั้นมีความหวาดหวั่นไม่สามารถจะบำเพ็ญบารมี หรือไม่สามารถจะบำเพ็ญฌานสมาบัติเป็นการตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน

ลุงก็มีความเห็นว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ตั้งใจทำความดี แต่เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี ผีที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี กลั่นแกล้งแบบนี้ เป็นการไม่ชอบธรรม ในฐานะที่ ลุงเป็นท้าวจตุโลกบาล คือ ลุงกับคณะ คือ ลุงเอง ๑ ท้าวเวสสุวัณ ๒.ท่านท้าววิรุฬหก ๓. ท่านท้าววิรูปักข์ ๔. ท่านท้าวธตรฐ ทั้ง ๔ คนนี้มีหน้าที่รักษาชาวโลก คือ ชาวมนุษย์โลก ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องกัน ช่วยเหลือ ถ้าเขาสร้างความชั่ว ก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้ ก็อดใจไว้ แล้วก็มีหน้าที่ ต้องบันทึกความดีหรือความชั่วของคน ทั้งการพูด การคิด การทำทุกอย่าง ใครทำความดี ใครทำดี ใครพูดดี ใครคิดดี ก็จดบันทึก ใครคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ก็บันทึก

ตอนนี้จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาพูดก็ดี เขาทำก็ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ปรากฏ แต่ตอนเขาคิดในใจนี่ ลุงรู้ได้อย่างไร ท่านท้าวเวสสุวัณ ก็บอกว่า เทวดาทุกองค์ นางฟ้าทุกองค์ หรือพรหมทุกองค์ ร่างกายเป็นทิพย์ และก็มีจิตใจเป็นทิพย์ ความเป็นทิพย์นี่ สามารถรู้การเคลื่อนไหว ความรู้สึกของคนได้ทุกอย่าง แล้วจุไรก็ถามว่า คนมีมาด้วยกัน ทั้งโลก ไม่ใช่ล้าน สองล้าน นับเป็นพันล้าน

แล้วลุงคนเดียวจะรู้ได้อย่างไร  ท่าน เวสสุวัณก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงคนเดียวที่จะต้องรู้ ผู้ที่รู้อันดับแรกก็คือ ภูมิเทวดา ภูมิเทวดา ที่ชาวบ้านตั้งศาลให้นั่นแหละ เขาเป็นคนรู้ เป็นเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขต เป็นจุดแคบๆ แล้วท่านผู้นี้ไม่ต้องไปนั่งจ้อง คิดว่า ใครจะทำโน่น ใครจะทำนี่ ใครจะคิดอะไร ไม่จำเป็น รู้เอง เมื่อเขาคิดดี ก็ขึ้นบัญชีดี ความคิดขึ้นบัญชีเอง เมื่อเขาคิดชั่ว ความคิดนั่นก็ขึ้นบัญชีชั่ว แต่ว่าไม่ใช่แผ่นทองคำหรือแผ่นหนังสุนัข เพราะว่า เมืองเทวดาไม่มีสุนัข ไม่สามารถจะเอาหนังสือมาเขียนได้ เป็นอันว่า มีบัญชีของเทวดาก็แล้วกัน ถ้าพูดไป หลานจะงง  

หลังจากนั้น ในกลุ่มหนึ่งของภูมิเทวดาหลาย ๆ องค์ ก็มีอากาสเทวดาชั้นจาตุมหาราช ไปคุม ๑ องค์ ถึงเวลาวันโกนหรือวันกลางเดือน หรือวันสิ้นเดือน เขาก็นำบัญชีมาให้เทวดาชั้นจาตุมหาราช ชั้นจาตุมหาราชก็นำบัญชีทั้งหมด เท่าที่ได้รับมา แต่ละหน่วย ๆ มาให้เทวดาที่เป็นมหาอำมาตย์รองจากอินทกะ หลัง จากนั้นท่านมหาอำมาตย์ก็มอบให้ท่านอินทกะ ท่านอินทกะก็มอบให้ลุงแจ้งให้ทราบ ลุงก็แยกบัญชี ส่วนบัญชีส่วนไหนเป็นความดี แจ้งไปดาวดึงส์ ให้เทวดาไปมอบให้ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร เป็นเลขาของพระอินทร์ แล้วท่านปัญจสิกขเทพบุตร ก็อ่านประกาศในวันที่ประชุมเทวดา และนางฟ้า บัญชีที่ทำบาป ลุงก็ส่งไปให้พระยายม แต่ความจริงบัญชีพระยายนั้นมีทั้งบัญชีทำความดี และบัญชีทำความชั่ว ทั้งบุญ และบาป ส่งไป ๒ อย่าง เหมือนกัน ก็เป็นอันวา ลุงรู้ตามนี้

จุไร ฟังแล้วก็นั่งงงคิดไม่ออกว่า ความเป็นทิพย์ ทำไมมีการคล่องตัวมาก แต่ก็ไม่ถาม เธอก็ย้อนถามมาว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงเจ้าคะ ขอเล่าเรื่องความเป็นมาของภาณยักข์ก็แล้วกัน ท่านลุงก็บอกว่า ในเมื่อเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี ภูติผีปีศาจต่างๆ ที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี คอยกลั่นแกล้งลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ลุงเองในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน ลุงเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ ก็มีความจำเป็น ต้องหาทางสงเคราะห์คนพวกเดียวกัน คือ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า จึงได้ประชุมท่านท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ คือ ท่านท้าวธตรฐ ท่านท้าววิรุฬหก ท่านท้าววิรูปักข์ เวลานี้ท่านทั้งสามก็มาอยู่ร่วมกันที่นี่แล้ว

ก็เป็นอันว่า ในเวลานั้น เมื่อประชุมกันเสร็จก็หารือกันว่าเหตุการณ์ต่างๆ มันเกิดขึ้นอย่างนี้ เราจะช่วยคนที่เขาตั้งใจทำความดีสร้างบุญสร้างกุศล เราจะทำอย่างไร ในที่สุด ทั้งสี่ท่านก็มีมติเห็นชอบพร้อมกันว่า เราจะสร้างบทสวดมนต์ขึ้นบทหนึ่ง บทสวดมนต์นี้มีการสรรเสริญพระพุทธเจ้า เป็นต้น เมื่อสร้างบทสวดมนต์แล้วเสร็จ แล้วก็สั่งประชุมเทวดาทั้ง ๔ ทิศ ให้ประกาศให้ทราบว่า ทุกคน เทวดาหรือนางฟ้าทุกองค์ จะนับถือพระพุทธเจ้าหรือไม่นับถือก็ตาม อันนี้ไม่รับทราบ

ให้พึงทราบว่า ถ้าบุคคลใด เขาสวดมนต์บทนี้อยู่ด้วยความตั้งใจดี ไม่ใช่กลั่นแกล้ง ไม่ใช่ขับเทวดา ไม่ใช่ขับผี เมื่อเขาไปอยู่ที่ไหนก็ตาม พอเริ่มต้นปั๊บ ก็สวดมนต์ตั้งแต่ นโม ตสส เรื่อยไป และขั้นต่อไปก็สวดบทนี้ ด้วยความเคารพ ถ้าหากว่า ท่านผู้ใดเขาสวดมนต์บทนี้อยู่ ไม่ใช่สวดทั้งวันนะ เอาแค่จบเดียวก็พอ ก็ห้ามบรรดาเทวดากับนางฟ้าทั้งหมด และภูติผีปีศาจทั้งหมด ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ คนที่เขาเจริญมนต์แบบนี้ บทวิปัสสิสนี่นะ ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ ห้ามไปล้อ ไปเลียน ห้ามไปหลอก ไปหลอน ห้ามไปกลั่นแกล้ง ถ้าเทวดาหรือนางฟ้า หรือภูติผี ท่านใดฝ่าฝืน ท้าวมหาราชทั้งสี่จะปรับโทษ ในฐาน กบฎ เอาโทษหนัก

ในเมื่อลุงประชุมเทวดากับนางฟ้าทั้งหมดแล้ว ลุงทั้งสี่ก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินสีห์ แล้วกราบทูลความเป็นมาเรื่องนี้ให้ทราบ ตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้าขืนย้อนๆ ไป มันจะช้าจะเนิ่นนานรำคาญ ขณะที่ลุงกราบทูลพระพุทธเจ้า ตอนนี้เขาเรียกว่า ภาณยักข์ ซึ่งเขาลือว่า ท้าวเวสสุวัณนี่เป็นยักข์ เขาจึงได้เขียนรูปเหมือนยักษ์ แต่ยักษ์ที่เขาเขียนมันไม่เหมือนยักษ์ที่ไหน ไม่ว่ายักษ์ที่ไหนจะมีเขี้ยวออกนอกปาก เป็นเขาวัว เขาควายแบบนั้น กัดใครไม่ได้ เขี้ยวยักษ์ ไม่ใช่เขี้ยวขวิด เขี้ยวยักษ์เป็นเขี้ยวกัด ในเมื่อทำเขี้ยวโง้งออกจากปาก จะกัดได้อย่างไร อ้าปากมันไม่หุบเขี้ยว เขี้ยวไม่อยู่ในปาก ก็รวมความว่า ขณะที่ลุงเป็นผู้แทนของท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ ปกติเวลาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ลุงเองเป็นผู้กราบทูลแทน ท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ ท่านไม่พูด เป็นแต่เพียงยอมรับว่า ท่านร่วม

เมื่อขณะที่ลุงรายงาน ขอให้พระพุทธเจ้าส่งมนต์บทนี้ให้แก่บรรดาสาวกทั้งหมด แจ้งให้ทราบว่า มนต์นี้ ถ้าใครสวดขึ้นแล้วก็ตาม คำว่า สวด ให้สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ไม่ใช่ตั้งใจขับผี ขับสาง ถ้าสวดมนต์บทนี้อยู่หรือสวดแล้วก็ตาม ในวันนั้นไม่ใช่ต้องนั่งสวดกันทั้งวัน ก็เป็นอันว่า ผีก็ดี เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ไม่สามารถจะเข้ามานั่งใกล้ ไม่สามารถจะกลั่นแกล้ง ไม่สามารถจะล้อเลียน ไม่สามารถจะหลอกได้ ถ้าใครฝ่าฝืนจะต้องถูกท้าวมหาราชทั้งสี่ลงโทษ ฐานกบฎ เป็นอันว่า ตอนนี้ลุงรายงานให้ท่านทราบ เขาเรียกว่า ภาณยักข์ ต่อมาเมื่อลุงกลับแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงเรียกพระประชุม เล่าความเป็นมาอย่างนี้ทั้งหมด ให้พระรับทราบ และแนะคำสวดมนต์ทั้งบทให้พระทั้งหลายสาธยายคือให้ท่องให้จำได้ แล้วก็ซ้อมพร้อมกัน ตอนนี้ท่านเรียกว่า ภาณพระ คือ พระพูด พระ คือ พระพุทธเจ้าพูด ก็เป็นอันว่าเรื่องราวภาณยักข์ กับภาณพระ เป็นมาเท่านี้เองหลานรัก

แล้วจุไรก็ถามว่า เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกว่า เรียบๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ว่าหนูมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่ง คุณปู่เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ มีพระองค์หนึ่ง ไปอยู่ในเขต เขาวงพระจันทร์ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในวัด ท่านปลูกกระท่อมอยู่ในป่า พระองค์นี้เป็นพระเสียงดัง ท่าทางห้าวหาญ หนูจำชื่อท่านไม่ได้ แต่ไม่ขอบอกชื่อ เพราะเกรงว่าจะไปตรงกับชื่อพระองค์ใดองค์หนึ่งเข้า จะหาว่ากล่าววาจาเสียดสี เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอกล่าวปฏิปทาของท่าน เพราะว่าท่านทราบมาจากคนแก่ คนเก่าๆ หรือพระเก่าๆ เคยเล่าให้ฟังว่า บทวิปัสสิสนี้ ถ้าสวดเสียงดังขนาดไหน ผีก็ดี เทวดา หรือยักข์ร้ายก็ตาม ที่จะกลั่นแกล้ง จะต้องอยู่สุดปลายเสียงโน้น ขณะได้ยินเสียงอยู่นี่ อยู่ไม่ได้ ต้องหนีไปให้พ้นเสียง
ฉะนั้น ตอนเช้าก็ดี ตอนกลางวันก็ดี ตอนเย็นก็ดี ตอนกลางคืน หัวค่ำก็ดี ตอนดึกก็ตาม ตอนเช้า ตื่นเช้าท่านจะสวดบทวิปัสสิส สวดเสียงดังมาก เลยต้องอยู่คนเดียว คนอื่นเขารำคาญ ตอนกลางวันก็สวดเสียงดัง ตอนเย็นก็สวดเสียงดัง พอค่ำไปหน่อยก็สวดเสียงดัง ตอนดึกก่อนจะนอนก็สวดเสียงดัง สวดอย่างนี้ทุกวัน แต่ปรากฏว่า มีวันหนึ่ง ตอนเย็นประมาณ ๔ โมงเย็นเศษ ใกล้จะ ๕ โมงเป็นเวลาที่พระองค์นี้สวดมนต์ แต่แทนที่จะได้ยินเสียงสวดมนต์ กลับได้ยินเสียงพระองค์นี้ร้อง โอ๊ย




หลวงพ่อเล่าเรื่องพระสวดมนต์ไล่ผี


ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้สาระน้อยไปหน่อยนะ เพราะมัวไปทะเลาะกับท่านนักปราชญ์เพลินไป มาพูดกันถึงอานุภาพท่านขุนด่านอีกหน่อย เพราะชักเหนื่อยแล้ว ท่านขุนด่านเป็นเทวดาของท่านท้าวเวสสุวัณ มีเครื่องทรงประจำสีแดง คือ นุ่งห่มสีแดง และโพกผ้าก็สีแดงเหมือนกัน ท่านที่ทรงเครื่องแดงนี้จัดเป็นเทวดามีอานุภาพมาก

สมัยที่เขาวงพระจันทร์ยังมีสถานที่ยังไม่สมบูรณ์อย่างปัจจุบัน หลวงพ่อปานท่านกำลังสร้างมณฑปและบันไดขึ้นเขา มีพระองค์หนึ่งเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของหลวงพ่อปาน ชื่อ ท่านสำราญ ชาวบ้านเรียกว่าอาจารย์สำราญ ขณะนี้สำราญอยู่เมืองผีนานแล้ว เพราะท่านแก่กว่าฉันมาก สมัยฉันอายุ ๒๐ ปีเศษ ท่านมีอายุเกือบ ๔๐ ปีแล้ว ท่านอยู่ประจำที่เขาวงพระจันทร์ เป็นเขตอารักขาของท่านขุนด่าน หลวงพ่อปานท่านสั่งไว้เสมอว่า อย่าประกาศตัวเป็นศัตรูกับผี ควรทำตนเป็นมิตรกับผีจะได้อยู่เป็นสุข เพราะผีไม่ใช่คน ถ้าเป็นศัตรูกัน เวลาที่เขามาทำอันตรายไม่มีนิมิตปรากฏ ท่านก็ไม่เชื่อ

ปกติท่านสวดบทวิปัสสิทธิ์เสมอเพื่อไล่ผี คาถาบทนี้เป็นคาถาในบทภาณยักษ์และภาณพระ คำว่า ภาณยักษ์แปลว่ายักษ์พูด คำว่าภาณแปลว่าพูด เป็นคาถาที่ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ท่านประชุมกันร้อยกรองขึ้น เมื่อร้อยกรองเสร็จท่านก็ประชุมผีทั้งหมด ท่านสั่งว่าใครเขาสวดคาถาบทนี้อยู่ห้ามทำอันตราย ถ้าใครไม่เชื่อจะลงโทษฐานกบฏ มาตรานี้มีโทษรุนแรงมาก

เมื่อประกาศแล้วท่านทั้งสี่ก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านทั้งสามให้ท้าวเวสสุวัณเป็นคนพูดกับพระพุทธเจ้า ท่านจึงเรียกภาณยักษ์ ตอนที่ท้าวเวสสุวัณพูด แปลว่า ยักษ์พูด เมื่อท้าวเวสสุวัณกราบทูลถวายกับพระพุทธเจ้า ได้กราบทูลมีใจความว่า พวกยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาคและบริวาร ส่วนอื่นของข้าพระพุทธเจ้าที่ไม่เลื่อมใสในพระองค์มีมาก เมื่อบรรดาพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา ไปทำสมณธรรมคือชำระอารมณ์ให้หมดจากกิเลส พวกนี้มักจะกลั่นแกล้งให้ตกใจกลัว เป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์มาก

คำว่าพรหมจรรย์ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ไม่เคยผ่านใครมาเลย นั่นยังไม่เรียกว่าพรหมจรรย์ ควรเรียกว่าคนยังไม่เคย ส่วนพรหมจรรย์แปลว่าประพฤติประเสริฐ คือ ไม่เป็นอันตรายแก่ใคร ได้แก่คนมีพรหมวิหาร ๔ นั่นเอง พวกที่ไม่เคยผ่านการร่วมรัก อาจจะเคยลักขโมย ฆ่าสัตว์ โกหกมดเท็จ กินเหล้าเมาสุราบ้างก็ได้ เรียกว่า พรหมจรรย์จึงไม่ตรงเป้าหมาย ส่วนพรหมจรรย์แท้ท่านหมายเอามีความประพฤติอย่างประเสริฐ คือ มีอารมณ์เหมือนพรหม มีศีลบริสุทธิ์ มีเมตตาปรานี มีฌานเป็นอารมณ์ อย่างนี้เป็นพรหมจรรย์อันดับปฐม พรหมจรรย์อย่างมัธยมก็ต้องตัดกิเลสสิ้นไปเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เรียกว่าระดับมัธยม หรือเรียกดุษฎีบัณฑิต เป็นอันว่ารู้กันนะว่าพรหมจรรย์หมายความว่าอย่างไร

เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทของพระองค์ไปเจริญสมณธรรมในป่าในรกที่สงัด ถ้าเกรงว่าบรรดาผีอันธพาลทั้งหลายจะรบกวน ให้เขาสวดคาถาบทนี้ผีจะไม่ทำอันตราย เมื่อท่านอธิบายแล้วก็ถวายคาถา จึงเรียกว่าภาณยักษ์ เพราะเป็นตอนยักษ์พูด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านรับไว้แล้วท่านมหาราชกลับแล้ว ท่านเรียกประชุมพุทธบริษัท ท่านก็ให้บริษัทเรียนและอธิบายตามนั้น ตอนนี้ในตำนานท่านกล่าวว่า พระพูด เรียกว่า ภาณพระ

ท่านสำราญท่านถือคาถานี้เป็นสำคัญ ท่านไม่ได้ทำดีคือสมณธรรม ท่านถือว่าท่านเก่ง พ่อสวดมนต์บทนี้ไล่ผีทุกวัน ผิดระเบียบพระที่ดี ไม่ทำดีแต่เอาอาวุธของคนดีมาใช้ก็เลยไม่มีผล พอเผลอท่านขุนด่านเลยจัดการเสียตามระเบียบ คือ เวลาประมาณ ๑๗ น. โดยประมาณ อาจจะไม่ตรงเผง ฉันและเพื่อนได้ยินเสียงท่านสำราญร้องโอย ๆ เสียงดังมาก ก็พากันวิ่งไปดู คิดว่าใครทำอันตรายท่าน ไม่ได้คิดว่าผีทำ คิดว่าคน คือพวกของเจ้าลาวอันธพาล

เมื่อวิ่งไปถึงปรากฏแก่ตาของพระทุกองค์ เห็นคนนุ่งแดงใส่เสื้อแดง ผ้าโพกหัวแดง ถือหวายขนาดใหญ่ กำลังหวดซ้ายป่ายขวาท่านสำราญ ๆ ลงไปนอนบิดไปบิดมาอย่างสำราญอยู่กับพื้น เจ้าสองลิงคือเจ้าลิงขาวกับลิงเล็กวิ่งเข้าไปร้องขอว่า ท่านขุนด่าน ขอทีเถอะ หยุดลงโทษเสียทีเท่านี้พอแล้ว แกหันมามองตาแดงก่ำ แดงเป็นสีตายักษ์ แกยิ้ม แต่ทว่ายิ้มของแกไม่น่ารักเลย มันน่ากลัวมากกว่า พระที่วิ่งไปด้วยเห็นยิ้มของแกเข้าหลบก้มหน้าลงดินเป็นแถว ที่ยืนปกติมีฉันกับเจ้า ๒ ลิง เมื่อแกเลิกยิ้มแกบอกว่า เจ้านี่อวดดีนัก เอาคาถาท่านมหาราชมาขับเทวดาขับผี เขาให้ไว้สำหรับคนดี ไม่ใช่ธุระของคนอันธพาลจะนำมาใช้ เลยจัดการเสียนิดหน่อย คราวต่อไปทำอย่างนี้อีกจะลงโทษให้หนักกว่านี้ แล้วแกก็ก้าวขึ้นขื่อหายไป

พระทุกองค์ที่ไปเห็นและได้ยินเหมือนกัน นับแต่นั้นมา ท่านสำราญท่านเห็นว่าที่เขาวงพระจันทร์สำราญเกินไป ท่านทนความสำราญไม่ไหวเลยลาไปสำราญที่อื่น พวกฉันเห็นได้ท่าก็เลยหันมาสำทับพวกเดียวกัน บอกว่าที่นี่เจ้าที่ดุ ต่อไปจงระมัดระวังความประพฤติ ถ้าใครทำชั่วไม่มีใครช่วยใครได้ อาจจะต้องมีโทษมากกว่านี้ เรื่องวัวเขาอ่อนเป็นเหตุ ถ้ายุ่งมากอาจจะถึงตาย และความประพฤติส่วนอื่นก็เหมือนกัน จงระงับเสีย อย่าเอาชั่วมาใช้ เรามาทำบุญกัน อย่าเอาบาปกลับวัด เป็นเรื่องน่าประหลาด เมื่อฉันและเพื่อนเตือนพระเย็นวันนั้น พอเช้าก็มีพระทุกองค์มารายงานว่าเมื่อคืนนี้ทุกองค์เห็นท่านขุนด่าน ท่านมาคาดโทษว่าถ้าท่านใดทำเลวปล่อยใจอย่างฆราวาส ท่านจะจัดการยิ่งกว่าท่านสำราญ



อานิสงส์ของการสวดมนต์ นั่งสมาธิ


อานิสงส์ของการสวดมนต์ นั่งสมาธิ

ครูบาอาจารย์ได้อรรถาธิบายความถึงอานิสงส์ของการสวดมนต์ไว้ ดังนี้

1. อานิสงส์ที่เกิดกับสุขภาพร่างกาย

ผู้ที่นิยมสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิสม่ำเสมอจะก่อให้เกิดผลดีต่อจิตยิ่งจะมีความผ่องแผ้วสว่างบริสุทธิ์ จิตที่สว่างจะทำให้อารมณ์ผ่องใส ไม่โกรธง่ายไม่เครียด แม้ถ้าจะต้องใช้ความคิดก็จะคิดแบบมีเหตุมีผล

การที่จิตผ่องแผ้วถือเป็นโอสถทิพย์ที่สำคัญต่อร่างกายที่เดียวส่งผลให้ร่างกายสร้างและหลั่งฮอร์โมนในร่างกายที่เป็นปกติ ทำให้ร่างกายสมดุลเมื่อร่ายกายสมดุลบุคคลนั้นจะอายุยืน คนที่มีอารมณ์ดี ไม่เครียดจะอายุยืนยาวเช่นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นสรณะจะอายุยืนบางองค์เกินร้อยปีก็มีหรือคนโบราณที่ชอบสวดมนต์ไหว้พระจะอายุยืนยาวมากไม่มีต่ำกว่าแปดสิบปี ซึ่งต่างจากคนสมัยปัจจุบันที่แก่เร็วอายุสั้น เฉลี่ยแล้วไม่เกินหกสิบห้า หรือ อย่างมากก็เจ็ดสิบปี

การมีจิตที่ผ่องใสเสมือนหนึ่งมียาอายุวัฒนะขนานเอกไว้ในตัวเอง ลักษณะนี้ครูบาอาจารย์ท่านให้เรียกว่าการนำปัจจัยภายในมาสร้างอายุวัฒนะ

2. อานิสงส์ให้เกิดจิตที่แกร่ง

หลังการสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิ จะทำให้จิตมีกำลัง เป็นการบำรุงจิต จิตที่มีกำลังจะเข้มแข็ง ไม่อ่อนไหวง่าย สติดี หนักแน่นการมีจิตเป็นสมาธิสติจะคงอยู่เสมอ จะก่อให้เกิดปัญญาตามมา

ปัญญาหมายถึงระบบการคิดที่มีสติคอยกำกับการคิดจึงอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลไม่มีอารมณ์เข้ามาเจือปน

ส่วนความคิดที่ขาดสติเราเรียกว่า อารมณ์คนสมัยใหม่ที่ไม่นิยมนั่งสมาธิ ส่งผลให้สติไม่มั่นคงโกรธง่าย โมโหร้าย ขี้หงุดหงิด ไม่อดทนต่อแรงกดดันทั้งปวงมีอารมณ์แปรปรวนไม่สม่ำเสมอ เหตุเพราะจิตมีอ่อนกำลัง เราจึงพบว่าสถิติการฆ่าตัวตายของคนสมัยนี้ จึงมีอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้น

รูปธรรมข้างต้นเหล่านี้คงจะพอแสดงให้เห็นถึงความต่างระหว่างจิตสองลักษณะคือจิตแกร่งกับจิตอ่อนได้เป็นอย่างดีให้เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าการที่เราต้องรับประทานข้าวปลาอาหารเพราะอาหารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับชีวิตฉันใดก็ฉันนั้น สมาธิก็จะเป็นอาหารที่สำคัญของจิต เช่นกัน


3. ได้อานิสงส์จากการได้โปรดดวงจิตวิญญาณ

ผู้ที่สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิถึงขั้นเป็นผู้มีจิตใสสว่างนั้นเป็นที่โปรดปรานของพวกวิญญาณเร่ร่อนยิ่งนัก เพื่อปรารถนาจะขอส่วนบุญส่วนกุศลให้ตนได้ร่มเย็น หรือพ้นทุกข์ หรือแม้กระทั่งหลุดพ้นจากการถูกจองจำโดยปกติบทสวดมนต์จะมีความขลังอยู่ในตัวเพราะ เป็นอักขระภาษาที่มีมนต์ขลังบางบทเป็นพระคาถาที่มีอานุภาพสูง โดยเฉพาะบทพุทธบารมี บทพระคาถาชินบัญชรมีอานุภาพสูง ยิ่งผู้สวดมีสมาธิจิตที่ดีแล้ว พลังแห่งเมตตาพลังแห่งอานุภาพจะแผ่กระจายปกคลุมไปไกล ด้วยอานุภาพของพลังจิตผู้สวดเองเมื่อเสียงสวดและอักขระไปกระทบ หรือสัมผัสกับดวงจิตวิญญาณใดพลังเมตตาและพลานุภาพแห่งมนตรานี้จะกระตุ้นให้ดวงจิตวิญญาณเกิดความระลึกได้เมื่อระลึกได้ก็จะสามารถดูดซับพลังบารมีทั้งปวงจากบทสวดอย่างเต็มที่ดวงจิตที่มืดบอดก็จะสว่างผ่องใสขึ้นและหลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการในที่สุด

สภาพโดยธรรมชาติของวิญญาณทั้งหลายนั้น พวกเขาจะถูกจำกัดหรือถูกควบคุมพื้นที่เสมือนถูกจองจำตีตรวน เหมือนนักโทษที่ติดอยู่ในคุก บางคนก็สำนึกได้เอง บางคนต้องได้รับการอบรมสั่งสอนก่อนจึงจะเกิดสำนึก เช่นกันดวงวิญญาณหลายดวง เกิดสำนึกในความดี ความชั่วที่ตนได้กระทำได้เองเมื่อสำนึกได้ก็จะสามารถเปิดรับธรรมะได้เลย ทันที การสำนึกได้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งดังที่คนโบราณได้สั่งสอนบอกต่อกันมาว่า ก่อนตายให้นึกถึงพระ ความหมายนี้ก็คือให้เกิดรู้สำนึกนั่นเอง แม้ถ้าคนเราสำนึกได้ในวินาทีสุดท้ายขณะใกล้จะตายก็ถือว่ามีโอกาสที่จะรับรู้ สัมผัสธรรมได้ ( จิตเปิด) มีโอกาสหลุดพ้น (จากการจำกัดบริเวณ )ได้และภาษาอักขระในบทสวดดวงจิตวิญญาณสามารถก็สามารถเข้าถึงได้ให้ดวงจิต วิญญาณเข้าใจได้ ก่อให้เกิดความกระจ่างได้และยิ่งเมื่อเราแผ่เมตตาตามอีกเขาก็จะได้อานิสงส์ มากยิ่งขึ้นดวงจิตวิญญาณเหล่านั้นชุ่มเย็นเป็นสุขเสมือนเรานำน้ำที่เย็นชโลม รดให้กับผู้ที่หิวกระหายลุ่มร้อนมานานปี จนสุดท้ายก็จะสามารถหลุดพ้นไปได้

การที่เราทำให้วิญญาณตกทุกข์ได้ยาก ทุกข์ทรมาน ได้รับความสุข สว่างสดใส หรือกระทั่งหลุดพ้นไปได้ นับว่าได้อานิสงส์มหาศาลทีเดียวสภาพความจริงในภพแห่งวิญญาณนั้น ถ้ามนุษย์มองเห็นก็จะพบว่ามีวิญญาณเร่ร่อน (สัมภเวสี ) จำนวนมากมายทีเดียว มีทุกหนทุกแห่ง เช่น คนมีจิตสว่างบางคนไปนอนที่ไหนก็จะมีวิญญาณมาดึง มาปลุก มาทำให้ไม่สามารถนอนได้ปรากฏการณ์เช่นนี้ให้ท่านเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า เขามาขอส่วนบุญเขาเห็นจิตของท่านที่สว่าง แสดงว่าท่านเป็นมีบุญที่สามารถแผ่ให้กับเขาได้ อย่าตกใจอย่ากลัวให้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี วิธีปฏิบัติก็คือ สวดมนต์ แผ่เมตตาให้เขาเสียแล้วท่านจะนอนหลับฝันดี เขาจะเฝ้าดูแลท่านตลอดทั้งคืนบางที่อาจให้โชคลาภกับท่านเสียอีก

สถานที่บางแห่งวิญญาณอยู่กันเหมือนตัวหนอนเหมือนฝูงแมลงวัน ยิ่งดวงวิญญาณอยู่กัมากมายเช่นนี้ผู้สวดมนต์ แผ่เมตตาภาวนาสมาธิให้ ก็จะได้อานิสงส์มากเท่าทวีคูณ การสวดมนต์ที่แท้ก็คือการแผ่เมตตานั่นเอง

การทำจิตให้นิ่งเป็นสมาธิบ่อยๆ เสมือนเราอยู่ในที่สูง อานิสงส์ที่เราสร้างบุญกุศลที่เรา
ทำจะเปรียบเสมือนเราเทน้ำให้ไหลลงสู่เบื้องล่างผู้อยู่เบื้องล่างที่หิว กระหายก็จะรอรับ
อย่างชุ่มเย็น มีความปีติยินดี

4. ได้อานิสงส์จากโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย

นอกจากดวงจิตวิญญาณแล้วยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ปรารถนาจะได้รับพลังเมตตาบารมีจากการสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิเช่นกัน ซึ่งก็คือพวกสัตว์เล็ก สัตว์น้อยสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นแหละ พลังแห่งการแผ่เมตตาบารมีนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่เป็นพลังแห่งพุทธานุภาพ เป็นพลังฝ่ายบุญกุศล

การสวดมนต์ ไหว้พระนั่งสมาธิและแผ่เมตตาบ่อยๆ จะทำให้จิตมีความแข็งแกร่งพลังแห่ง
การแผ่เมตตาก็จะมีอานุภาพที่แรงครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขวางยิ่งขึ้นนั่นย่อมหมายถึงไป
สู่สรรพสัตว์มากจำนวนยิ่งขึ้นตามเบื้องต้นสามารถพิสูจน์ได้จริงไม่ว่ามด ยุง แมลง ฯลฯ
ล้วนต้องการ และแสวงหาพลานุภาพแห่งเมตตาอย่างหิวโหยจริง

เช่นผู้ปฏิบัติธรรม บางคนพบว่ามีมดขึ้นมาเกาะบนกลดขณะที่ท่านกำลังที่ภาวนาอยู่จำนวนมากหรือมียุงมากัดจำนวนมากขณะนั่งสมาธิ แต่เมื่อท่านกล่าวแผ่เมตตาให้แล้วพวกเขาเหล่านั้นก็จะจากไปของเขาเอง ไม่ทำร้ายไม่รบกวนเราอีกเหตุเพราะพวกเขาได้รับแล้วนั่นเอง

ลักษณะเช่นนี้จะเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ครูบาอาจารย์ที่กล่าวไว้ว่า พวกมด ยุง แมลงนั้น
พวกเราสามารถพูดกับเขาได้นั่นเองเมื่อเราทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้ทุกข์หลุดพ้น
จากทุกข์ช่วยให้สรรพสัตว์ที่ได้สุข ให้ได้สุขยิ่งๆขึ้นไป เราก็ได้อานิสงส์แห่งการนี้ตอบ
คืน อานิสงส์เช่นนี้ เป็นอานิสงส์ที่ก่อให้เกิดบารมีที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว เราเรียกว่าอานิสงส์ทางทิพย์

5. ได้อานิสงส์จากพรเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ทุกครั้งที่เราสวดมนต์ หลังจากสวดบทบูชาพระรัตนตรัยแล้วเราก็มักจะสวดบทชุมนุมอัญเชิญเทวดาเสมอ (สักเคฯ) เป็นการบอกกล่าวอัญเชิญเทวดาให้มาร่วมพิธีการสวดมนต์ เทวดาเทพเทพารักษ์ทั้งหลายโปรดการฟังสวดมนต์มากเพราะถือเป็นพิธีกรรมแห่งพุทธที่มีมนต์ขลังมีความศักดิ์สิทธิ์ ดังที่ได้เรียนไปแล้วบทสวดทุกบทเป็นอักขระ มีพลังพุทธานุภาพสูงใครได้ยินได้ฟังได้ซึมซับก็จะเกิดความสว่างไสว เกิดพลังบารมี

มนุษย์ที่สวดมนต์ไหว้พระประจำเทวดา จึงเป็นที่โปรดปรานของเทวดาไปที่ไหนมีเทวดาปกป้องคุ้มครอง ให้โชคให้ลาภให้ความมั่งมีสีสุขคนโบราณจึงย้ำหนักหนาให้ลูกหลานสวดมนต์ก่อนนอนนี่คือความหมายที่แท้จริงของการสวดมนต์ก่อนนอน

เทวดาก็ต้องการสร้างบารมีของตนให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปเช่นกัน เมื่อเราสวดมนต์ ไหว้พระแผ่เมตตา ทำให้เทวดาได้บารมีเพิ่ม ได้ความสว่างเพิ่มเทวดาก็จะอำนวยอวยพรชัยมงคลให้กับเรา เป็นการตอบแทนคุณเรา

หากเราสังเกตให้ดีเราจะพบว่า ทุกพิธีกรรมทางพุทธศาสนาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันจะต้องเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเทวดาเสมอ ก่อนเริ่มพิธีกรรมจึงต้องมีการสวดบวงสรวงอัญเชิญทวยเทพเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาร่วมพิธีก่อนเสมอ

พุทธองค์ทรงสำเร็จมรรคผลด้วยทวยเทพเทวดาช่วยเหลือ ชี้แนะ ในทางกลับกันเทวดาก็พึ่งพาธรรมจากพุทธองค์ หรือพุทธสาวกเพื่อสร้างบารมี ชี้ทางสว่างเสมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า องค์ทวยเทพเทวากับพุทธศาสนาจึงแยกกันไม่ออก เป็นของคู่กัน



บทสวดมนต์พาหุงมหากา



บทสวดมนต์พาหุงมหากา

กราบพระรัตนตรัย
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)

นมัสการ (นะโม)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (๓ จบ)

ไตรสรณคมน์ (พุทธัง ธัมมัง สังฆัง)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉาม
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ

พระพุทธคุณ (อิติปิ โส)
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ

พระธรรมคุณ
สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติฯ *
(* อ่านว่า วิญญูฮีติ)
พระสังฆคุณ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย* ปาหุเนยโย* ทักขิเณยโย* อัญชะลี กะระณีโย
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ
(อ่านออกเสียง อาหุไนยโย ปาหุไนยโย ทักขิไณยโย โดยสระเอ กึ่งสระไอ)

พุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ)

พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัหมัง* วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย
วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญฯ
* พรัหมัง อ่านว่า พรัมมัง


มหาการุณิโก
มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง
ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ

ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง
ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะรา
ชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก
สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ

สุนัก ขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ
สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ** จาริสุ ปะทักขิณัง
กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ
กัตตะวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ
** พรัหมะ อ่านว่า พรัมมะ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ

หลังจากสวดมนต์ตั้งแต่ต้นจนจบบทพาหุงมาหากาฯ แล้วก็ให้สวดเฉพาะบทพระพุทธคุณ หรืออิติปิโส ให้ได้จำนวนจบเท่ากับอายุของตนเอง แล้วสวดเพิ่มไปอีกหนึ่งจบ ตัวอย่างเช่น ถ้าอายุ ๓๕ ปี ต้องสวด ๓๖ จบ จากนั้นจึงค่อยแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล

พุทธคุณเท่าอายุเกิน ๑ (อิติปิโสเท่าอายุ+๑)
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ

บทแผ่เมตตา
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กัน และกันเลย
อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้ พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ

บทอุทิศส่วนกุศล (บทกรวดน้ำ)

อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตา ปิตะโร
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม คุรูปัชฌายาจะริยานังโหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจะริยา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข