นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

บทความธรรมะ

Tuesday, October 14, 2014

เจ้ากรรมนายเวร

" เจ้ากรรมนายเวร "

 ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )





 "..เจ้ากรรมนายเวร" หมายถึงบาปที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไว้กับคนและสัตว์
ในอดีตชาติก็ดี ในชาติปัจจุบันก็ดี อย่างบางคนที่เราฆ่าเขาบ้าง เราทำร้ายเขาบ้าง ...
เขาอาจจะไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมแล้ว ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่สนใจแล้ว
แต่ไอ้ตัวบาปที่เราทำไว้ อย่างคนที่ไปขโมยของเขา เจ้าของเขาไม่ติดใจ
แต่ตำรวจมีหน้าที่ตามไม่ใช่อยากตาม แต่กฎหมายให้ตาม
ฉะนั้น กรรมหรือเวรตัวนี้คือกฎหมาย ถ้าหากปฏิบัติในขั้น สุกขวิปัสสโก
ก็จะบอกว่าไม่มีตัวตนเพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่เตวิชโช ขึ้นไปเขาเห็น
ดังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟังประกอบเรื่องนี้

เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๗ คืนหนึ่งอาตมาเจริญพระกรรมฐานเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
ขณะที่อุทิศส่วนกุศลก็มายืนกันมากแต่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร เป็นคนมาโมทนาบุญ
พอเขาโมทนากันเสร็จ ก็มีชายคนหนึ่งคลานเข้ามา ถือขวานเล่มใหญ่
พอเข้ามาใกล้ก็บอกว่า "ผมกับท่านหมดเรื่องกัน" อาตมาก็ถามว่า "หมดเรื่องอะไร"
เขาก็บอกว่า "หมดเรื่องที่จะต้องติดตามจองล้างจองผลาญกัน"
ก็ถามอีกว่า "จองล้างจองผลาญฉันทำไม"
เขาก็บอกว่า "เปล่าครับ ผมไม่ได้จองล้างจองผลาญ"
ก็ถามว่า "แล้วเข้ามาทำไม"
เขาก็เลยเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังว่า "ในอดีตนับเป็นสิบๆ ชาติ ท่านกับผมรบกันมาเรื่อย"
เป็นคู่สงครามกัน ตัวเขาเก่งขวานทุกชาติ ส่วนอาตมาเก่งดาบสองมือทุกชาติ
ถ้าเวลาให้รบตัวต่อตัว ต้องเอาคู่นี้มารบกัน ถ้าคนอื่นหัวขาด พอถึงเวลากินข้าว
ก็บอกว่า "พักรบก่อน กินข้าวเสร็จมารบกันใหม่" วันนั้นทั้งวันไม่มีใครเสียท่ากัน
อาตมาถามว่า "มันมีเวรกรรมอะไรกันล่ะ"
เขาบอกว่า "กฎของกรรมเขาถือว่ามี แต่เวลานี้กฎของกรรมสลายตัวแล้ว"
ก็เลยถามว่า "เวลานี้ไปเกิดที่ไหน"
เขาก็บอกว่า "ผมเป็นพรหมครับ"
ถามว่า "พรหมยังจองกรรมหรือ"
เขาตอบว่า"ผมไม่ได้จองแต่กฎของกรรมมันจอง
เรื่องของกรรมหนักๆ ระหว่างสงครามหมดกันแค่นี้"
เราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม
บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไปแล้ว
เราไปยับยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมดีให้มีกำลังเหนือบาป
บาปต่างๆ ก็จะตามเราไม่ทันเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นการทำบุญหนีบาป
ไม่ใช่ทำบุญล้างบาป ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี
ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงจะชดใช้กันไม่ไหว
มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาป ด้วยการปฏิบัติดังนี้
๑) การคิดถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระอริยสงฆคุณ
๒) ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๓) มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน
๔) มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว
๕) มีการภาวนาให้จิตทรงตัว
๖) พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการให้มีในจิตให้ครบถ้วน
๗) พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด
๘) จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน
เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ได้ทั้งหมด ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป
นั่นคือตายเมื่อใดก็ไปพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด.."


.

ปัญหาเครื่องรางของขลังและพระบรมสารีริกธาตุ

ปัญหาเครื่องรางของขลังและพระบรมสารีริกธาตุ

โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)





ปัญหาเรื่องนี้ได้นำคำตอบของหลวงพ่อ มาเพื่อความกระจ่างของความหมายที่อยู่ในความรู้สึกของท่านพุทธศาสนิกชนบางท่าน ที่ยังเข้าใจไม่ครบถ้วน ในความหมายของคำว่า "เครื่องรางของขลัง" ซึ่งในปัจจุบันนี้บางท่านมีความเข้าใจไปว่า พระที่ชอบแจกเครื่องรางของขลังจะทำให้คนติดอยู่ในวัตถุว่าหลงใหลงมงาย...

ปัญหานี้โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา นำมาถามกันอยู่เสมอ ซึ่งหลวงพ่อท่านได้กรุณาอธิบายว่า
"ความมุ่งหมายในการใช้พระคล้องคอ โดยมากพวกเรามักจะเข้าใจผิดกัน ที่พระท่านทำพระไว้ให้คล้องคอ ก็หมายถึงว่า บุคคลใดที่มีใจเคารพในพระพุทธเจ้า มีใจเคารพในพระธรรม มีใจเคารพในพระอริยสงฆ์ แต่ทว่ามีกำลังใจที่เข้าถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ ยังอ่อนอยู่

 ฉะนั้นจึงได้ทำรูปเปรียบของพระพุทธเจ้าก็ดี รูปเปรียบของพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี ที่เป็นที่เคารพนบถือห้อยคอไว้ ถ้าหากว่าเรานึกถึงพระท่านไม่ออก จะได้นำพระขึ้นมาดู รูปนี้เป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามระบอบแห่งความดีที่เรียกกันว่า "พระธรรมวินัย"

นี่เป็นความจริง เป็นความมุ่งหมายของผู้ทำ ต้องการอย่างนี้ หมายความว่า คนที่มีพระห้อยคอ ก็ควรจะทำใจอย่างพระ หรือมิฉะนั้นคนที่มีพระห้อยคอ ก็ควรจะทำตามที่พระแนะนำ ให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ว่าพวกเราก็กลับมาพลิกแพลงเสีย เอาพระไปตีกับชาวบ้านเขา ไปยุให้พระตีกัน

 พระที่นำมาห้อยคอนี่ พระท่านทำขึ้นมา ก็ด้วยอาศัยอำนาจของพระพุทธานุภาพนะ อำนาจของพระพุทธานุภาพนี่ สามารถที่จะช่วยคนที่ไม่ถึงอายุขัย ให้พ้นจากอันตรายได้

 ที่เรียกว่า "พระเครื่อง" อันนี้ใช้ได้ แต่ถ้าหากจะเรียก "เครื่องรางของขลัง" อันนี้ใช้ไม่ได้ พระทุกองค์ท่านทำมาไม่ใช่ของขลัง ท่านทำมาด้วยวิชาที่เขาเรียกว่า "พุทธศาสตร์" ไม่ใช่ "ไสยศาสตร์"

พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์มีค่าต่างกัน
พวก ของขลัง นี่เป็น ไสยศาสตร์ เขาทำมาเพื่อทำลาย
สำหรับ พุทธศาสตร์ เขาทำมาเพื่อการสงเคราะห์ เพื่อให้บุคคลที่มีพระประเภทนี้ไว้ ถ้ามีจิตใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย ถ้าไม่ถึงอายุขัย ถ้าอันตรายของชีวิตถึงจะเกิดขึ้น ก็สามารถปลอดภัยจากอันตรายนั้นได้"

 (ต่อไปนี้เป็นคำตอบปัญหาของหลวงพ่อในเรื่องนี้)
ผู้ถาม :- "หลวงพ่อคะ อ่านประวัติหลวงพ่อปานแล้วมีความรู้สึกว่า ถ้าเรามีวัตถุมงคลที่มีพลังสูง เช่น ยันต์เกราะเพชร ก็ดีนะคะ ตอนที่ลาวปล่อยของมาแล้ว ของอื่นแตกหมด แต่ยันต์เกราะเพชรนี้อยู่ ไม่เป็นไร ทำให้นึกอยากได้ของที่แจ๋วๆ อย่างนั้นค่ะ"
หลวงพ่อ :- "จะเอาเพชรสีอะไรล่ะ สีน้ำมันก๊าด? จะไปยากอะไร
ยันต์เกราะเพชร บทเสกกับบทเขียนก็มี พระพุทธคุณ คือ อิติปิ โส บทต้น แล้วก็ทุกวันต้องบูชาด้วย อิติปิ โส ๑ จบ
มีพระองค์ไหนก็เหมือนกัน หรือมีพระคล้องคอ เวลาสวด อิติปิ โส ก็นึกถึง บารมีของพระพุทธเจ้า ห้องที่สองนึกถึง บารมีพระธรรม ห้องที่สามนึกถึง บารมีพระอรหันต์ทั้งหลาย
พวกบูชายันต์เกราะเพชร ก็ต้องใช้บทนี้เป็นประจำ ถ้าไม่ใช้ประจำ ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะคุ้มครองได้นะ"
ผู้ถาม :- "ก็แสดงว่ายังมีวัตถุมงคลที่มีพลังสูงจริง"
หลวงพ่อ :- "มันอยู่ที่เราด้วย ทำมาให้ดีแล้ว เราดีเท่าของหรือเปล่า ถ้าเรามีความเข้มแข็ง แล้วเราก็ดีเท่าของ อย่างเขาเอารถยนต์มาให้เรา เราใช้ไม่เป็น รถยนต์ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยใช่ไหม...เขาให้มาแล้ว เราก็ใช้ให้ถูกทางด้วย ก่อนที่จะใช้ก็ต้องหาน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเผาอะไรพวกนี้ใช่ไหม...
ก็เหมือนกัน เมื่อได้พระมาแล้ว นึกน้อมความดีของพระ นึกถึงความดีของพระ ไม่มีอะไรมาก อิติปิ โส บทเดียวพอ ทุกๆ วัน ตอนเช้าตื่นขึ้นมานึกถึงบารมี นึกถึงพระที่เรามีอยู่"
ผู้ถาม :- "บางคนห้อยพระราคาเป็นแสนก็ตาย"
หลวงพ่อ :- "ถ้าถึงวาระก็ต้องตาย ความจริงที่ให้มีพระคล้องคอ ท่านมีความหมาย ให้ทำใจเป็นพระ ว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสอนในหลักใหญ่ ๓ ประการ
๑. สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง พวกเธอทั้งหลาย จงอย่าทำความชั่วทุกอย่าง
๒. กุสะลัสสูปะสัมปะทา จะสร้างแต่ความดี
๓. สะจิตตะปริโยทะปะนัง จงทำจิตให้ผ่องใสจากกิเลส
แล้วก็ลงท้ายว่าเอตัง พุทธานะสาสะนัง เราขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ สอนอย่างนี้เหมือนกันหมด
นี่ท่านต้องการทำจิตให้เป็นพระ ไม่ใช่เอาพระไปตีกับชาวบ้าน บางทีพาพระไปขโมยเขาเสียอีก พระขโมยของตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป ศีลขาดหมดแล้ว พาพระไปกินเหล้าเป็นปาจิตตีย์ พาพระไปเล่นการพนัน พระก็ถูกสึก ไมไหว ใช่ไหมคุณ"

 (และปัญหาข้อสุดท้ายเรื่อง พระบรมสารีริกธาตุ)
ผู้ถาม :- "หลวงพ่อครับ กระผมมี พระธาตุ อยู่องค์หนึ่ง เราจะมีวิธีดูยังไงครับ จึงจะรู้ว่าเป็นของพระองค์จริง...?"
หลวงพ่อ: “ฉันไม่ดูเลย ฉันคิดว่าจะบูชาอะไรก็ตาม ถ้าใจเรานึกถึงพระพุทธเจ้าก็ใช้ได้หมด จะมัวไปนั่งติดธาตุอยู่ืืำทำไม เราหาองค์ท่านไม่ดีรึ ใช่ไหม...เรามีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ แต่ไม่นึกถึงท่านเลย จะเกิดประโยชน์อะไร
ประโยชน์จริงๆ ก็คือว่า ถ้าเราเคารพพระพุทธเจ้าเพียงใด นั่นผลจึงจะเกิด ถ้าเรามีอยู่ เราไม่เคารพ ก็ไม่มีความหมาย ดีไม่ดีจะเกิดเป็น การปรามาส เข้าอีก จะซวยใหญ่ ใช่ไหม...ว่าตรงไปตรงมานะ
แต่ว่าถ้าเรามีอยู่จริง เราเคารพจริง ก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวดีเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ดี เอาอย่างนี้ดีกว่า จริงหรือไม่จริงเราก็ไหว้ เรานึกถึงพระพุทธเจ้าก็หมดเรื่อง ยังไงๆ ก็ถึงพระพุทธเจ้าแน่"
ผู้ถาม :- "ถ้าหากว่าบ้านมี ๒ ชั้น แล้วเอาพระพุทธรูปไว้ข้างล่าง ถ้ามีคนเดินผ่านชั้นบนจะเป็นไรไหมคะ...?"
หลวงพ่อ :- "ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราไม่ได้ตั้งใจปรามาส ก่อนขึ้นก็ไหว้ ขอขมาอภัยท่าน"
ผู้ถาม :- "แต่ถ้าหากเป็นพระธาตุนี่เอาไว้ชั้นล่าง ไม่ได้ใช่ไหมคะ...?"
หลวงพ่อ :- "มันก็ครือกัน แล้วแต่ถ้าหากว่าไม่มีความจำเป็นอะไร ก็เอาไว้ชั้นบนก็ดี ใจจะได้สบาย พระพุทธรูปก็เหมือนกัน แต่ถ้าจำเป็นกรณีพิเศษ เราเดินขึ้นไปโดยไม่มีใจปรามาสก็ไม่เป็นไรนะ"

................................................................................................................................................................
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ หน้า ๑๑๑-๑๑๕
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ [รวมทุกเล่ม]



.