นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

บทความธรรมะ

Monday, November 8, 2010

ว่าด้วย กราบไหว้ผู้ควรกราบไหว้


อรรถกถา ปัพพชิตวิเหฐกชาดก
ว่าด้วย กราบไหว้ผู้ควรกราบไหว้


               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่  พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อชาวโลก จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทุพฺพณฺณรูปํ ดังนี้.
               เรื่องนี้จักมีแจ้งใน กัณหชาดก.

               ก็ในคราวครั้งนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อน ตถาคตก็บำเพ็ญประโยชน์แก่โลกเหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกะ. ครั้งนั้น วิชาธรคนหนึ่งร่ายเวทย์มนต์แล้วเข้าไปในห้องมิ่งขวัญในเวลาเที่ยงคืน ประพฤติล่วงเกินกับพระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี. ฝ่ายข้าหลวงของพระนาง ได้กราบทูลแด่พระราชา. พระนางจึงเสด็จเฝ้าพระราชาเสียเองทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ชายคนหนึ่งเข้ามาในห้องมิ่งขวัญ ในเวลาเที่ยงคืนข่มขืนหม่อมฉัน.
               พระราชา ก็เธอจะสามารถทำเครื่องหมาย คือสัญญาณอะไรไว้ที่มันได้ไหม?
               พระอัครมเหสี สามารถ พระเจ้าข้า.
               พระนางทรงให้นำถาดใส่ชาด คือชาติหิงคุมาได้ เมื่อเวลาชายคนนั้นมาในเวลากลางคืน ร่วมอภิรมย์แล้วจะไป ทรงประทับนิ้วทั้ง ๕ ไว้ที่หลัง แล้วได้กราบทูลพระราชาแต่เช้าทีเดียว.
               พระราชาตรัสสั่งบังคับคนทั้งหลายว่า สูเจ้าทั้งหลายจงไป จงพากันตรวจดูทั่วทุกทิศ แล้วจับชายคนที่มีรอยชาดอยู่บนหลัง. ฝ่ายวิชาธร เมื่อทำอนาจารในเวลากลางคืนแล้ว กลางวันก็ยืนขาเดียวนมัสการพระอาทิตย์อยู่ที่สุสาน. ราชบุรุษทั้งหลายเห็นเขาแล้วจึงพากันล้อมไว้. เขารู้ว่า กรรมของเราปรากฏแล้ว จึงร่ายเวทย์เหาะไปทางอากาศ.
               พระราชาทรงเห็นชายคนนั้นแล้ว จึงตรัสถามราชบุรุษทั้งหลายที่มาแล้วว่า เธอทั้งหลายได้เห็นไหม?
               ราชบุรุษ ได้เห็นพระพุทธเจ้าข้า.
               พระราชา มันชื่ออะไรล่ะ คือใคร.
               ราชบุรุษ เป็นบรรพชิต พระพุทธเจ้าข้า.
               เพราะว่าเวลากลางคืนเขาทำอนาจาร แต่เวลากลางวันเขาอยู่โดยเพศบรรพชิต. พระราชาทรงกริ้วบรรพชิตทั้งหลายว่า บรรพชิตเหล่านี้กลางวันประพฤติโดยเพศสมณะ แต่กลางคืนทำอนาจาร แล้วทรงยึดถือผิดๆ จึงทรงให้ตีกลองประกาศว่า สูเจ้าทั้งหลายจักต้องปฏิบัติตามพระราชโองการ ในที่ๆ ตนได้เห็นแล้ว เห็นแล้วว่า บรรพชิตทั้งหมดจงหนีไปจากอาณาจักรของเรา บรรพชิตทั้งหมดจึงหนีไปจากแคว้นกาสีที่มีที่ ๓๐ โยชน์ได้พากันไปยังราชธานีอื่นๆ.

               สมณะพราหมณ์ผู้ทรงธรรม แม้คนเดียวที่จะให้โอวาทแก่คนทั้งหลายทั่วแคว้นกาสีก็ไม่มี. คนทั้งหลายที่ไม่ได้รับโอวาท ได้เป็นคนหยาบคาย. คนทั้งหลายที่ปล่อยปละละเลยทานและศีลเป็นต้น ตายไปแล้วโดยมาก ก็เกิดในนรก. ขึ้นชื่อว่าจะเกิดในสวรรค์ไม่มีแล้ว.

               ท้าวสักกะเมื่อไม่ทรงเห็นเทพบุตรใหม่ จึงทรงรำลึกว่า มีเหตุอะไรหนอแล? แล้วก็ทรงทราบว่า พระเจ้าพาราณสีทรงพิโรธเพราะอาศัยวิชาธร ทรงไล่บรรพชิตออกจากแว่นแคว้น เพราะทรงเชื่อถือผิด จึงทรงดำริว่า คนอื่นนอกจากเราที่จะสามารถทำลายความเชื่อถือผิดของพระราชาพระองค์นี้ไม่มี และเราจักเป็นที่พึ่งของพระราชาและราษฎรทั้งหลาย แล้วได้เสด็จไปสำนักพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เงื้อมแห่งภูเขาชื่อว่านันทมูลกะ ทรงไหว้แล้วทูลว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าทั้งหลาย จงให้พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เฒ่าองค์หนึ่งแก่กระผม กระผมจักให้ราษฎรชาวกาสีเลื่อมใส.

               ท้าวเธอได้พระสังฆเถระทีเดียว จึงท้าวเธอทรงรับเอาบาตรและจีวรของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ให้ท่านอยู่ข้างหน้าพระองค์เองอยู่ข้างหลัง ทรงแปลงเพศเป็นมาณพรูปหล่อ วางอัญชลีไว้เหนือเศียร นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า เสด็จเที่ยวไปทางเบื้องบนพระนครทั้งหมด ๓ เที่ยว มาถึงประตูพระราชวัง ได้ประทับยืนอยู่บนอากาศ.
               อำมาตย์ทั้งหลายได้กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ มาณพรูปงามคนหนึ่งนำเอาสมณะรูปหนึ่งมา ยืนอยู่บนอากาศตรงประตูพระราชวัง. พระราชาจึงเสด็จลุกจากราชอาสน์ ประทับยืนที่ช่องพระแกล เมื่อทรงเจรจากับด้วยท้าวสักกะนั้นว่า ดูก่อนมาณพ เธอเป็นผู้มีรูปร่างงาม แต่เหตุไฉน จึงยืนถือบาตรและจีวรของสมณะผู้มีรูปร่างขี้เหร่ พลางนมัสการอยู่ดังนี้
 
               ได้ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :-

               เธอผู้มีรูปร่างงาม แต่ให้สมณะรูปร่างขี้เหร่อยู่ข้างหน้า ประคองอัญชลีนมัสการ สมณะรูปนั้นดีกว่าเธอหรือเสมอกันกับเธอ ขอจงบอกทั้งชื่อของตนทั้งชื่อของผู้อื่น คือสมณะ.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อริยวณฺณี ได้แก่ รูปร่างสวยงาม. บทว่า เสยฺโย นุ เต โส ความว่า บรรพชิตรูปร่างขี้เหร่รูปนั้นดียิ่งกว่าเธอหรือเสมอกับเธอ. บทว่า ปรสฺสตฺตโน จ ความว่า พระราชาตรัสถามว่า เธอจงบอกชื่อของผู้อื่นนั้นและของตนเถิด.

               ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสกะพระราชานั้นว่า ข้าแต่มหาราช ขึ้นชื่อว่าสมณะทั้งหลายย่อมเป็นผู้ควรเคารพ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ได้เพื่อเรียกชื่อของท่าน แต่ข้าพเจ้าจักบอกชื่อข้าพเจ้าแก่ท่าน
  
               แล้วตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-

               ข้าแต่มหาราช ทวยเทพอุปัตติเทพจะไม่เอ่ยชื่อและโคตรของเทพทั้งหลายผู้พร้อมเพรียงกัน ผู้ปฏิบัติตรงคือวิสุทธิเทพ แต่ข้าพเจ้าจะบอกชื่อของข้าพเจ้าแก่ท่าน ข้าพเจ้าคือท้าวสักกะผู้เป็นจอมทวยเทพชาวไตรทศ.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมคฺคตานุชฺชุคตาน เทวา ความว่า อุปปัตติเทพทั้งหลายจะไม่แตะต้องชื่อและโคตรของพระมหาขีณาสพทั้งหลาย ผู้ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันแล้ว เพราะพิจารณาสังขารทั้งมวลด้วยอำนาจแห่งกิจตามความเป็นจริงแล้วบรรลุอรหัตผลที่เป็นผลเลิศ และผู้ชื่อว่าดำเนินไปตรงแล้วเพราะดำเนินไปสู่พระนิพพานด้วยมรรคมีองค์  ที่ตรง ผู้เป็นวิสุทธิเทพยอดเยี่ยมกว่าอุปปัตติเทพทั้งหลาย.
               บทว่า อหญฺ จ เต นามเธยฺยํ ความว่า ก็แต่ว่าข้าพเจ้าจักบอกชื่อของตนแก่ท่าน.

               พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การนมัสการภิกษุ ด้วยคาถาที่ ๓ ว่า :-

               ผู้ใดเห็นภิกษุผู้เข้าถึงจรณะ ให้ท่านผู้อยู่ข้างหน้า ประคองอัญชลีนมัสการ ข้าแต่เทวราช ข้าพระองค์ขอถามข้อความนี้กะพระองค์ ผู้นั้นจุติจากโลกนี้ไปแล้ว จะได้รับความสุขอะไร?

               ท้าวสักกะตรัสตอบด้วยคาถาที่ ๔ ว่า :-
 
               ผู้ใดเห็นภิกษุผู้เข้าถึงจรณะ ให้ท่านอยู่ข้างหน้า แม้ประคองอัญชลีนมัสการอยู่ ผู้นั้นจะได้รับการสรรเสริญในปัจจุบัน และจะไปสวรรค์ เพราะร่างกายแตกดับไป.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขุได้แก่ บุคคลผู้บริสุทธิ์เพราะทำลายกิเลสได้แล้ว.
               บทว่า จรณูปปนฺนํ ความว่า ผู้เข้าถึงด้วยศีลและจรณะ. บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม ความว่า ไม่ใช่ว่า จุติจากโลกนี้อย่างเดียวเท่านั้นจึงจะไปสวรรค์ ถึงในอัตภาพนี้ เขาก็ได้รับการสรรเสริญ คือประสบความสุขจากการสรรเสริญ.

               พระราชาทรงสดับเทวคาถาเรื่องของท้าวสักกะแล้ว ทำลายการเชื่อถือผิดได้
 
               พอพระราชหฤทัยได้ตรัสคาถาที่ ๕ ว่า :-

               วันนี้บุญได้เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์แล้วหนอ ที่ข้าพระองค์ได้พบเห็นพระผู้เป็นเจ้า วาสวะ ข้าแต่ท้าวสักกะ ข้าพระองค์เห็นพระภิกษุ และพระองค์แล้ว จะทำบุญหาน้อยไม่.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลกฺขี คือบุญ ได้แก่มิ่งขวัญ มีคำอธิบายไว้ว่า วันนี้ปัญญาที่รู้วิบากของกุศลและอกุศล เกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพระองค์ผู้ฟังพระดำรัสของพระองค์อยู่นั่นแหละ. บทว่า ยํ เป็น เพียงนิบาต. บทว่า ภูตปติมทฺทสํ ความว่า ข้าพระองค์ได้เห็นพระผู้เป็นเจ้า.

               ท้าวสักกะทรงสดับคำนั้นแล้ว เมื่อจะทรงสดุดีบัณฑิต จึงตรัสคาถาที่ ๖ ว่า :-
 
               ควรคบหาผู้มีปัญญา เป็นพหูสต คิดถึงเหตุการณ์มากมายโดยแน่แท้แล ดูก่อนพระราชา พระองค์เห็นภิกษุและหม่อมฉันแล้ว จงทรงทำบุญหาน้อยไม่.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฐานจินฺติตา ความว่า ผู้สามารถคิดถึงเหตุการณ์ได้มากมาย.

               พระราชาทรงสดับเทวดำรัสนั้นแล้ว จึงตรัสคาถาสุดท้ายว่า :-
 
               ผู้ไม่มักโกรธ มีจิตเลื่อมใสเนืองนิตย์ เป็นผู้ควรแก่การขอของแขกทุกคน ข้าแต่จอมเทพ ข้าพระองค์สดับสุภาษิตแล้ว จักทำลายมานะ กราบไหว้ท่านผู้นั้น.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพาติถียาจโยโค ความว่า บรรดาแขกทั้งหลายคืออาคันตุกะทั้งหลายที่มาแล้วทั้งหมด คนเหล่านั้นขอสิ่งใดๆ เขาก็เป็นผู้เหมาะคือสมควรแก่สิ่งนั้นๆ อธิบายว่า ให้อยู่ทุกสิ่งที่ชนเหล่านั้นขอแล้ว. ขอแล้ว บทว่า สุตฺวาน เทวินฺท สุภาสิตานิ ความว่า พระราชาทูลว่า ข้าพระองค์ฟังสุภาษิตของพระองค์แล้ว จักเป็นคนแบบนี้.

               ก็แหละ พระราชา ครั้นตรัสอย่างนี้ก็เสด็จลงจากปราสาท ทรงไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วได้ประทับยืน ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง.
               พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงนั่งคู้บัลลังก์ที่อากาศ แล้วทรงโอวาทพระราชาว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร วิชาธรนั้นไม่ใช่สมณะ ต่อแต่นี้ไปขอพระองค์จงทรงทราบไว้ว่า โลกไม่ว่างเปล่า ยังมีสมณะพราหมณ์ผู้ทรงศีลอยู่ แล้วทรงอวยทาน ทรงศีล ทรงอุโบสถกรรมเถิด.
               ฝ่ายท้าวสักกะประทับยืนอยู่ที่อากาศด้วยอานุภาพของท้าวสักกะ ประทานโอวาทแก่ทวยนครว่า ต่อแต่นี้ไป สูเจ้าทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด แล้วทรงให้ตีกลองป่าวประกาศว่า
               สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้หนีไปแล้ว จงกลับมา.

               จึงท่านทั้ง ๒ คือท้าวสักกะและพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้เสด็จไปยังที่ของตน.
               พระราชาทรงตั้งอยู่ในเทวโอวาทของท้าวสักกะนั้นแล้วได้ทรงทำบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกไว้ว่า
               พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งนั้น ได้ปรินิพพานแล้ว
               พระราชาได้แก่ พระอานนท์
               ส่วนท้าวสักกะได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.


 

               จบ อรรถกถาบัพพชิตวิเหฐกชาดกที่ ๖





No comments:

Post a Comment