บทนำ
สาเหตุ
แห่งความเสื่อมสูญของภิกษุณีเถรวาท นักวิชาการทั้งหลายมองไปที่ ครุธรรม ๘
ประการ โดยเข้าใจว่าเป็นแผนการที่จะกำจัดภิกษุณีให้หมดไปจากวงการคณะสงฆ์
ครุธรรม ๘ ประการและสิกขาบทอื่นๆ
จึงถูกสอดแทรกเข้ามาในพระไตรปิฎกในยุคหลังพุทธกาล ครุธรรม ๘
ประการและสิกขาบทจำนวนมากในภิกษุณีวินัยเหล่านี้เกิดขึ้นภายหลังพุทธ
ปรินิพพาน ขันติปาโลภิกษุ พระภิกษุชาวอังกฤษ มองว่า
ครุธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลัง
แต่ภิกษุผู้จดบันทึกเหตุการณ์นำมาใส่ไว้ตอนต้น
เพื่อทำให้เห็นว่าครุธรรมนั้นเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะเป็นมาตรการที่เปิดโอกาสให้ภิกษุเป็นใหญ่เหนือภิกษุณีสงฆ์”TP[1]PT ซึ่งสอดคล้องกับทัศนะของแบลคสโตน ที่ว่า ครุธรรม ๘ ประการ ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้การปกครองของคณะสงฆ์เหนือภิกษุณี”TP[2]PTธัมมนันทาภิกษุณี
มองโดยโยงไปหาค่านิยมของอินเดียโบราณที่ผู้ชายคาดหวังให้ผู้หญิงปรนนิบัติ
รับใช้ว่า “ภิกษุณีสงฆ์ก็ยังได้รับการคาดหวังจากภิกษุสงฆ์ให้ปรนนิบัติ
รับใช้ในรูปแบบสังคมอินเดียเดิมที่ผู้หญิงจะต้องปรนนิบัติรับใช้ผู้ชาย
เพียงแต่บัดนี้เปลี่ยนสภาพจากบ้านมาเป็นวัดเท่านั้น
ถ้ามองในเชิงปฏิเสธ(เชิงลบ) อาจพิจารIณาได้ว่า ครุธรรม ๘
ประการเป็นมาตรการที่สนับสนุนค่านิยมดังกล่าว”TP[3]PT นิธิ เอียวศรีวงศ์ ตั้ง
คำถามว่า “ข้อกำหนดต่างๆไม่ว่าจะเป็นครุธรรม ๘ ประการ
ที่เป็นเรื่องพิเศษสำหรับผู้หญิงซึ่งมีความประสงค์ที่จะบวชเหล่านี้ จริงๆ
แล้วมันเป็นพุทธบัญญัติจริงหรือเปล่า ?
หรือแทรกเข้ามาในการสังคายนาครั้งที่ ๑ กันแน่”TP[4]PT
ทวีวัฒน์ ปุณณฑริกวัฒน์ มองว่า คุรุธรรม ๘ นี้ได้รับการพิสูจน์จากประวัติศาสตร์แล้วว่าไม่เป็นความจริงTP[5]PT ริตา เอ็ม. กรอสส์ (Rita M. Gross) มองว่า“ครุธรรมจึงเป็นผลกระทบอย่างใกล้ชิดแท้จริงและเป็นผลประโยชน์ระยะยาว”TP[6]PT
จาก
ทัศนะของนักวิชาการหลายท่านที่ผู้เขียนยกมา
ในรายละเอียดอาจจะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่มีข้อสมมติฐานร่วมกันอย่างหนึ่ง
ว่า ครุธรรม ๘ ประการ
เป็นของปลอมที่ถูกสอดแทรกเข้ามาในยุคหลังพุทธกาล ด้วยเหตุผลที่ว่า (๑)
พระพุทธเจ้าทรงมีเมตตากรุณาต่อมวลสรรพสัตว์อย่างเสมอหน้ากัน จึงเป็นไปไม่
ได้ที่พระองค์จะตรัสหรือบัญญัติข้อความใดๆ ในลักษณะที่มีอคติต่อสตรีเพศ (๒)
ภิกษุสงฆ์ในสมัยพุทธกาลและหลังพุทธกาลมีความรู้สึกต่อต้านการบวชของสตรีใน
พระพุทธศาสนา เพราะถูกหล่อหลอมมาในวัฒนธรรมที่ถือผู้ชายเป็นใหญ่ของ
พราหมณ์-ฮินดู (๓)
ความรู้สึกต่อต้านดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นในกรณีที่ไม่นิมนต์ภิกษุณีสงฆ์
ให้เข้าร่วมทำสังคายนาครั้งที่
๑ และการปรับอาบัติพระอานนท์ในกรณีที่ขวนขวายให้สตรีเข้ามาบวช (๔)
เมื่อมีความรู้สึกต่อต้านจึงวางแผนที่จะบั่นทอนและกำจัดภิกษุณีให้หมดไปจาก
วงการคณะสงฆ์ และ (๕)
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนการที่วางไว้ จึงแอบสอดแทรกครุธรรม ๘
ประการ
และสิกขาบทบางส่วนเข้ามา เพื่อบั่นทอนภิกษุณีสงฆ์ให้ลดน้อยถอยลงและสูญหายไป
ในที่สุด
การตั้งสมมติฐานเบื้องต้น (Assumption) ในลักษณะดังกล่าวมานี้
คำตอบที่ออกมามักจะเป็นไปในลักษณะการค้นหาคนผิดหรือคนก่อการ(Agents)
ที่นำไปสู่ความเสื่อมสูญของภิกษุณีในยุคหลังพุทธกาล
รูปแบบการหาคำตอบแบบนี้น่าจะเป็นการลดทอนปัญหาลงไปสู่ประเด็นที่คับแคบจน
เกินไป โดยมองข้ามมิติในเชิงสังคม-วัฒนธรรม (Socio-Cultural)
รวมทั้งบริบทด้านเหตุการณ์และสถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในยุคหลังพุทธกาล
ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้ ในบทความนี้ผู้เขียนจึงมุ่งที่จะศึกษาบนข้อ
สมมติฐานที่ว่า
เราน่าจะมีเหตุผลอธิบายได้ว่าทำไมภิกษุณีจึงเสื่อมสูญไปจากคณะสงฆ์เถรวาทโดย
ไม่จำเป็นต้องยึดสมมติฐานที่ว่าครุธรรม ๘
ประการและสิกขาบทที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
เป็นของปลอมที่ถูกสอดแทรกเข้ามาทีหลังโดยกลุ่มภิกษุผู้มีแผนการกำจัดภิกษุณี
ร่องรอยภิกษุณีหลังพุทธปรินิพพาน
TP[7]PT
มาตุคามที่พระอรหันต์ทั้งหลายกล่าวถึง
ผู้เขียนมองว่าคือภิกษุณี ด้วยเหตุผลที่ว่า
ภิกษุณีอยู่นอกสำนักในเวลาวิกาลไม่ได้ ส่วนสตรีที่เป็นชาวบ้านนั้นสามารถ
อยู่ในเวลาวิกาลได้
เพราะมีญาติที่เป็นบุรุษคอยดูแล ภิกษุณีในชั้นอรรถกถาที่ได้รับการบันทึกไว้
หลังสังคายนาครั้งที่ ๓ ในสมัยพระเจ้าอโศก ช่วงพ.ศ. ๒๑๘-๒๖๐
(ตามหลักฐานของนักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันส่วนมากว่า ๒๗๐-๓๑๒)TP[8]PT
หลังสังคายนาครั้งที่ ๓ แล้วเสร็จ ได้มีการจัดส่งสมณทูตไปในดินแดนต่างๆ ๙
สาย ในจำนวน ๙ สายนั้น ได้มีการบวชกุลธิดา ๓ สาย คือ ๑.
สายของพระโยนกธรรมรักขิตและคณะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่อปรันตกชนบท
พระโยนกธรรมรักขิตได้แสดงอัคคิกขันโธปมสูตร ให้ชาวอปรันตกชนบทฟัง
มีผู้บรรลุธรรม กุลบุตรออกบวช ๑,๐๐๐ คน กุลธิดาออกบวช ๖,๐๐๐ คนTP[9]PT ๒.
สายของพระโสณะและพระอุตตระพร้อมด้วยคณะ มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิ
ได้แสดงพรหมชาลสูตร ให้ประชาชนฟัง มีผู้บรรลุธรรม ๑๖,๐๐๐ คน กุลบุตรออกบวช
๒,๕๐๐ คน กุลธิดาออกบวช ๑,๕๐๐ คนTP[10]PT
๓. สายพระมหินทและคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ตัมพปัณณิ
(ศรีลังกา) ได้แสดงจูฬหัตถิปโทปมสูตร
และหลังจากนั้นได้แสดงธรรมโปรดชาวลังกาเสมอๆ
มีผู้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก ภายหลังออกบวชเป็นจำนวนนับหมื่น
พระนางอนุฬาเทวีและบริวาร ๑,๐๐๐ คนออกบวชเป็นภิกษุณีTP
PT
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๗ ได้บันทึกเหตุการณ์สังคายนาครั้งที่ ๑ ไว้
และในเหตุการณ์ครั้งนั้นพระอรหันต์๕๐๐ รูปในที่ประชุมสังคายนา
ได้กล่าวตำหนิพระอานนท์
ในกรณีที่พระอานนท์ให้มาตุคามเข้าถวายบังคมพระบรมสรีระของพระพุทธเจ้าก่อน
[14]PT
สมัยพระเจ้าอโศกภิกษุณีสงฆ์มีบทบาทในการสร้างอนุสาวรีย์ในพระพุทธศาสนา
ปรากฏมีจารึกระบุจำนวนภิกษุณีที่มีส่วนในการสนับสนุน เช่น
จารึกที่สถูปสาญจิ ภารหุต กัณเหริ การเล กุฑา นาสิก เปานิ อมราวดี
และมถุรา ที่สถูปสาญจิมีรายนามภิกษุสงฆ์สนับสนุน ๑๒๙ รูป ภิกษุณี ๑๒๕
รูป ที่เปานิ รายนามภิกษุ ๓ รูป ภิกษุณี ๕ รูป ที่ภารหุต มีรายนามภิกษุ ๒๕
รูป ภิกษุณี ๑ รูป ที่อมราวดี มีภิกษุ ๑๒ รูป และยังปรากฏว่าที่เมืองมถุรา
มีภิกษุณีหลายรูปสนับสนุนการสร้างพระพุทธรูปในยุคแรกๆ
ที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้น
จากหลักฐานอรรถกถานี้ทำให้ทราบว่าภิกษุณีในช่วง ๓๐๐
กว่าปีหลังพุทธกาลยังรุ่งเรือง
มีกุลธิดาออกบวชเป็นภิกษุณี ถึงแม้ว่าสายของพระโยนกธรรมรักขิตและสายของพระ
โสณะและพระอุตตระไม่ได้บันทึกว่ากุลธิดาบวชเป็นภิกษุณี แต่ได้นำสายของพระ
มหินทมาเป็นเกณฑ์การตัดสิน จึงตีความว่า
กุลธิดาเหล่านั้นได้บวชเป็นภิกษุณี เพราะในช่วง๓๐๐ ปี
ยังมีภิกษุณีเป็นจำนวนมาก
สอดคล้องกับจารึกของพระเจ้าอโศกที่ทรงให้จารึกเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑[12]PTจารึก
อโศกกล่าวถึงภิกษุณีเป็นอันมาก ความว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ
โยมมีความปรารถนาในส่วนที่เกี่ยวกับธรรมบรรยายเหล่านี้ว่า
ขอภิกษุผู้เป็นที่เคารพและภิกษุณีทั้งหลายเป็นอันมากพึงสดับและพิจารณา
ใคร่ครวญในธรรมบรรยายเหล่านี้อยู่โดยสม่ำเสมอเป็นประจำ”TP[13]PT
ข้อความจารึกว่า “ข้าฯ
ได้ทำให้สงฆ์มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว บุคคลใดๆ
จะเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตามก็ไม่อาจทำลายสงฆ์ได้ ก็แล หากบุคคลผู้ใด
จะเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม
จักทำลายสงฆ์ให้แตกกันบุคคลผู้นั้นจักต้องถูกบังคับให้นุ่งห่มผ้าขาวและไป
อาศัยอยู่ในสถานที่อื่น(นอกวัด)TPTP
คริสต์ศตวรรษที่ ๔ ถึงศตวรรษที่ ๕ ช่วงแรกๆนี้ พบหลักฐานบนแท่นพระพุทธรูป
ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วงตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่ ๔
จารึกระบุว่าผู้สร้างพระพุทธรูปคือศากยภิกษุณีสร้างอุทิศบิดามารดาและสรรพ
สัตว์ และอีกองค์ สร้างโดยภิกษุณีชยภัฏฏา ปรากฏในวัดยศาวิหาร เมืองมถุรา
ในศตวรรษที่ ๗ ถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๘ มีในบันทึกของสมณอี้จิง
ในบันทึกนี้กล่าวถึงรายระเอียดเกี่ยวกับการแต่งกายของภิกษุณีสงฆ์โดย
เปรียบเทียบกับทางจีน
ข้อมูลที่อี้จิงบันทึกไว้มีทั้งภิกษุณีสงฆ์ในอินเดียในเขตท้องที่เบงกอล
พิหาร์ อุตตรประเทศรวมทั้งอาณาจักรศรีวิชัยด้วย
ในพุทธศตวรรษที่ ๑๐ หลวงจีนฟาเหียนเดินทางไปอินเดียระหว่างปี พ.ศ. ๙๔๒-๙๕๗
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองมถุรา ได้บันทึกไว้ว่า
“เมืองนี้พระพุทธศาสนายังเจริญรุ่งเรืองมาก มีอารามมากมาย
กล่าวถึงภิกษุณีว่า
ในวันสำคัญของพระพุทธศาสนาจะไปชุมนุมสวดมนต์บูชาสถูปของพระอานนท์เถระ
เพื่อรำลึกถึงบุญคุณของท่านที่ได้ช่วยให้สตรีได้บวชในพระพุทธศาสนาTP
TP[17]PT
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองกานยกุปชะซึ่งเป็นเมืองของพระเจ้าหรรษวรรธนะ พระเจ้า
แผ่นดินให้ความอุปถัมภ์ทั้งศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ พระองค์เลี้ยงพระวันละ
๑,๐๐๐ รูป พราหมณ์วันละ ๕๐๐ คน
และพระขนิษฐภคินีของพระเจ้าหรรษวรรธนะพระนามว่าราชยศรีได้บวชเป็นภิกษุณีใน
พระพุทธศาสนาTP[18]PTใน
ปีพ.ศ. ๑๕๔๖-๑๖๔๔ (พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗)
ในอินเดียเหนือภิกษุและภิกษุณีประพฤติย่อหย่อนในวินัยมาก
ประพฤติตัวคลุกคลีกับฆราวาส ประชาชนหันไปนับถือการบูชาเซ่นสรวงTP
PT
บันทึกของพระถังซำจั๋ง ระหว่าง พ.ศ. ๑๑๗๒-๑๑๘๘
ท่านได้บันทึกเรื่องราวการเดินทางไว้อยางละเอียด
เมื่อท่านเดินทางมาถึงเมืองกิสสะ
หรือสังกัสสะซึ่งเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์
ท่านได้พบวัดที่มีภิกษุและภิกษุณีจำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมากถึง ๑,๐๐๐ รูป
ในประเทศศรีลังกานั้น ภิกษุณีเข้าไปเจริญรุ่งเรืองหลังสังคายนาครั้งที่ ๓
โดยพระนางสังฆมิตตาภิกษุณีได้ไปบวชสตรีศรีลังกาและประดิษฐานวงศ์ภิกษุณีไว้
ในประเทศศรีลังกา เมื่อกาลเวลาล่วงมา
ไม่ปรากฏมีภิกษุณีในศรีลังกาเลย ภิกษุณีอินเดียและภิกษุณีศรีลังกา
เป็นที่รู้กันว่าปฏิบัติตามภิกษุสงฆ์ที่ยึดมติการสังคายนาครั้งที่
๑ เมื่อยึดถือปฏิบัติเช่นนั้นในสังคมเถรวาทจะกล่าวเสียงเดียวกันว่า
ภิกษุณีสงฆ์เถรวาททั้งในประเทศอินเดียและศรีลังกาได้เสื่อมสูญลงแล้วถึงแม้
จะมีการพยายามฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ก็ไม่จัดเป็นภิกษุณีเถรวาท
เพราะขาดภิกษุณีผู้เป็นปวัตตินีพร้อมทั้งขาดคณะภิกษุณีฝ่ายเถรวาท หนังสือ
พุทธประวัติเขียนโดยพระภิกษุสีลาจาระ (J.F Mckechnie) ชาวอังกฤษ
แต่งขึ้นสำหรับใช้สอนเด็กในประเทศศรีลังกา เมื่อ พ.ศ. 2484
แปลโดยพุทธทาสภิกขุ กล่าวถึงภิกษุณีสงฆ์ว่า “การบวชของภิกษุณี
ซึ่งมีพระนางมหาปชาบดีเป็นองค์แรกนั้น มีอายุยืนยาวประมาณ 500 ปี
แล้วก็สาบสูญไป”TP
สังคมเถรวาทมีมติเป็นอันเดียวกันว่า “ภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเถรวาทเสื่อมสูญแล้ว”
ปัญหาที่จะตั้งเป็นคำถามต่อไปคือ
อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้วงศ์ภิกษุณีเถรวาทเสื่อมสูญไป?
เหตุปัจจัยแห่งความเสื่อมสูญของภิกษุณีเถรวาท
ผู้เขียนมองว่าปัจจัยหลักๆที่เป็นสาเหตุแห่งความเสื่อมสูญของภิกษุณีเถรวาทนั้นมี ๒ ปัจจัย คือปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายในที่เกี่ยวกับภิกษุณีโดยตรงนั้น
สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือพฤติกรรมของภิกษุณี
จากพฤติกรรมของภิกษุณีนี้เองเป็นสาเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบท
เป็นที่ทราบกันดีว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทล่วงหน้า
ต่อเมื่อภิกษุณีทำผิด มีภิกษุ
ภิกษุณีและชาวบ้านตำหนิติเตียนพระองค์จึงประชุมสงฆ์บัญญัติสิกขาบทนั้นๆ
พฤติกรรมของภิกษุณีมีความเกี่ยวเนื่องกับสาวิกาบารมีญาณ
เพราะสตรีที่ไม่มีบารมีญาณในการบรรลุธรรมจะมีพฤติกรรมที่ไม่สมควรอันเป็น
สาเหตุให้ล่วงละเมิดวินัยสิกขาบทต่างๆ และวินัยของภิกษุณีก็มีมาตรฐานสูง
กว่าวินัยของภิกษุ
สาเหตุเหล่านี้ถือว่าเป็นปัจจัยภายในที่มีอิทธิพลต่อความเสื่อมสูญของ
ภิกษุณี
พฤติกรรมของภิกษุณี
ในช่วงหลังพุทธกาลมีบันทึกเกี่ยวกับภิกษุที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมกับสมณะ
สารูปมีปรากฏเป็นจำนวนมาก
ไม่มีใครห้ามปรามชี้ถูกชี้ผิด ท่านเฮี้ยนจังได้เล่าถึงความประพฤติของ
ภิกษุ นิกายสัมมิติยะแห่งแคว้นสินธุ์ว่า
“ใช้ชีวิตอย่างชาวโลกและไม่ถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติ
พระเหล่านั้นเกียจคร้านเป็นคนที่ไร้ค่าและเที่ยวเตร่ ถึงแม้พระเหล่านั้นจะ
ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ก็ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เลี้ยงปศุสัตว์ และมีลูกมีเมีย”TP[21]PT
ประวัติศาสตร์ของแคชเมียร์ได้บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า
“พระในแคว้นแคชเมียร์นั้น
มีความประพฤติในลักษณะเช่นเดียวกันกับพระในแคว้นสินธุ์เหมือนกัน
กล่าวคือในวัดที่พระนางยูกเทวี
อัครมเหสีของพระเจ้าเมฆวาหนะ(ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐) ให้สร้างขึ้นนั้น
ครึ่งหนึ่งของวัดจัดเป็นที่อยู่ของพระที่มีความประพฤติดีและไม่มีเมีย
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของวัดจัดให้เป็นที่อยู่ของพระที่มีลูกเมีย
และมีทรัพย์สมบัติ”TP[22]PT
จากวรรณกรรมบางเรื่อง ซึ่งแต่งขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ และ ๑๒ นั้น
ปรากฏว่าพระภิกษุและภิกษุณีในพระพุทธศาสนาในยุคนั้นได้มีความเกี่ยวข้องใน
กิจการทางการเมือง ทางการทหาร และเป็นเจ้ากี้เจ้าการในการแต่งงานTP[23]PT
ในยุคที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่มีภิกษุณีที่เป็นปุถุชนหลายรูปได้มี
พฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายเรื่องเช่น ในเรื่องเพศ เรื่องการแต่งกาย
การประพฤติตนเหมือนหญิงฆราวาส เป็นต้น สำหรับในเรื่องเพศนั้น
มีภิกษุณีกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มมีจำนวน ๖
คน ในสมัยนั้นเรียกภิกษุณีกลุ่มนี้ว่า “ภิกษุณีฉัพพัคคีย์”
ภิกษุณีกลุ่มนี้มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะคือใช้น้ำโคลนสาดภิกษุเพื่อให้ภิกษุ
รักในพวกเธอTP[24]PT ได้เปิดร่างกาย,เปิดถัน,เปิดขาอ่อน,เปิดองค์กำเนิดให้แก่ภิกษุดู และพูดเกี้ยวภิกษุ ชักชวนสตรีให้มารักกับภิกษุทั้งหลายTP[25]PT ภิกษุณีเพ่งดูอวัยวะเพศของบุรุษTP[26]PT
เป็นต้น ภิกษุณีปุถุชน ยังแต่งตัวเหมือนสตรีคฤหัสถ์
ห่มจีวรสีเขียว ห่มจีวรสีเหลือง ห่มจีวรสีแดง ห่มสีวรสีบาน ห่มจีวรสีดำ
ห่มจีวรสีแสด ห่มจีวรสีชมพู
ห่มจีวรไม่ตัดชาย ห่มจีวรมีชายยาว ห่มจีวรมีชายเป็นลายดอกไม้ ห่มจีวรมีชาย
เป็นแผ่น สวมเสื้อ สวมหมวกTP[27]PT แต้มหน้า,ทาแก้ม,TP[28]PT
เป็นต้น ภิกษุณีที่เป็นปุถุชน ยังมีการทำสปา เพื่อเสริมความงาม
นวดตัวนวดหน้า ภิกษุณีปุถุชน ประคบประหงมร่างกายให้สวยงาม
เพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ
ใช้กระดูกแข้งโคขัดสีตะโพก,ใช้ไม้มีสัณฐานดุจคางโคนวดตะโพก,นวดมือ,นวดหลัง
มือ,นวดเท้า,นวดหลังเท้า,นวดขาอ่อน,นวดหน้า,นวดริมฝีปากTP[29]PTใช้เครื่องหอมเครื่องย้อมผิวTP[30]PTใช้แป้งอบกลิ่นTP[31]PT เป็นต้น
TP[32]PT
ภิกษุณีที่เป็นปุถุชนมีการทำมาหากินเหมือนฆราวาส
ประพฤติไม่เหมาะสมประกอบการค้าขายที่ผิดสมณวิสัย
ตั้งสำนักหญิงแพศยา,ตั้งร้านสุรา,ตั้งร้านขายเนื้อ,ออกร้านขายของ
เบ็ดเตล็ด,ประกอบการค้ากำไร ,ประกอบการค้าขาย,ขายของสดและของสุก,เป็นต้น
ภิกษุณีในสมัยยุคหลังพุทธกาลไม่มีหลักฐานบันทึกพฤติกรรมไว้เหมือนในสมัย
พุทธกาล จากการศึกษาพฤติกรรมจากสมัยพุทธกาลทำให้ทราบว่า
ภิกษุณีที่มีพฤติกรรมที่เป็นเหตุนำไปสู่การบัญญัติสิกขาบท คือ
ภิกษุณีปุถุชน ภาวะจิตใจของภิกษุณีที่ยังเป็นปุถุชนไม่เข้มแข็งเหมือน
ภิกษุณีอรหันต์ ยิ่งภิกษุณีปุถุชนที่ไม่มีบารมีญาณถึงพระอรหันต์จึงเป็นการ
ง่ายมากต่อการประพฤติที่ผิด เมื่อมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแก่เพศบรรพชิต
ย่อมทำให้ประชาชนไม่ศรัทธา
ความเป็นอยู่ก็ลำบากเพราะบรรพชิตมีความเป็นอยู่เนื่องด้วยผู้อื่น
ไม่มีประชาชนทำบุญ ภิกษุณีไม่มีทุนไปซื้อข้าวปลาอาหาร
ก็ไม่สามารถอยู่เป็นภิกษุณีได้
ดังนั้นพฤติกรรมของภิกษุณีเองเป็นสาเหตุอันหนึ่งที่ทำให้วงศ์ภิกษุณี
เสื่อมสูญลง
สาวิกาบารมีญาณ
การออกบวชของสตรีนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการสร้างบารมีมาทั้งแต่อดีตชาติ
หลายภพหลายชาติและ
ต้องมีอุปนิสัยคือความประพฤติส่วนตัวที่สะสมเป็นพื้นในอดีตชาติส่งผลให้มี
อิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดในชาติปัจจุบันเป็นปัจจัยน้อมมาในบรรพชา
บุคคลที่มีอุปนิสัยในการบรรพชา
เมื่อเติบโตรู้เดียงสาจะมีความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส
ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีอุปนิสัยในอดีตชาติคอยเตือนให้เห็นภัยในชีวิตฆราวาส
อยู่เสมอและคิดหาหนทางออกบวช
เมื่อได้บวชแล้วจะมุ่งแสวงหาสัจจะเพื่อความพ้นทุกข์อย่างตั้งใจและ
เด็ดเดี่ยว
ผู้ที่มีสาวิกาบารมีญาณจะมีลักษณะอุปนิสสัยที่เรียกว่าสัทธาจริยาTP[33]PTคือ
มีความศรัทธาต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระอริยะเจ้า จิตใจฝักใฝ่ในธรรม
ชอบบริจาคทาน ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา หรือเป็นผู้มีอุปนิสัยพุทธิจริยาTP[34]PT
ชอบคบหากัลยาณมิตร เรียนรู้ได้เร็ว
รู้จักประมาณในการบริโภค เมื่อได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจะใช้สติปัญญา
พิจารณาหาเหตุผลในคำสอนที่ได้ฟัง
เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีอันเป็นเหตุให้พ้นทุกข์ก็จะตั้งใจ
ประพฤติปฏิบัติตามจนกระทั่งพ้นจากกิเลส คนที่ไม่มีบารมีทางด้านการออกบวช
เมื่อมาบวชแล้วจะไม่ยินดีในการบวช
หรือที่เป็นคฤหัสถ์อยู่แล้วเมื่อใจไม่น้อมในการบวชก็ไม่อยากจะบวช
เพราะการบวชนั้นมีความเป็นอยู่ที่ขึ้นอยู่กับศรัทธาของประชาชนถือว่าลำบาก
กว่าการเป็นคฤหัสถ์
ดังนั้นเรื่องสาวิกาบารมีญาณจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม จากการศึกษาสตรี
ที่เป็นสาวิกาที่บวชเป็นภิกษุณี
และได้บรรลุอรหัตผลเฉพาะที่ปรากฏอยู่ในเถรีคาถามีจำนวน ๗๓ รูป ในจำนวน ๗๓
รูปนั้น ภิกษุณีที่มีสัทธาจริยา(ความเลื่อมใส)เป็นตัวนำมี๔๕
รูป ภิกษุณีที่มีพุทธิจริยา(ปัญญา) เป็นตัวนำมี ๒๘ รูป TP[35]PT ภิกษุณีที่ได้บรรลุธรรมก่อนบวชมี ๑๑ รูป และภิกษุณีที่ได้บรรลุธรรมหลังบวชมี ๖๒ รูปTP[36]PT ภิกษุณีที่ระบุว่าได้สร้างบุญบารมีมาในอดีตชาติมี ๓๕ รูป ภิกษุณีที่ไม่ระบุว่าได้สร้างบุญอะไรไว้ในอดีตชาติมี ๓๘ รูปTP[37]PT
ภิกษุณีที่หลักฐานไม่ระบุว่าได้สร้างบุญอะไรไว้ในอดีตนั้น
ภิกษุณีเหล่านี้ต้องได้สร้างบุญบารมีอย่างใดอย่างหนึ่งไว้
เพียงแต่ไม่ระบุชัดเจน
โดยเฉพาะภิกษุณีมหาสาวิกาเคยตั้งความปรารถนาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าในอดีต
ซึ่งปรากฏว่าแต่ละรูปตั้งความปรารถนาต่างกัน บางรูปปรารถนาบรรลุอรหัตตผล
บางรูปปรารถนาเป็นพระอัคคสาวิกา บางรูปปรารถนาตำแหน่งเอตทัคคะTP[38]PT
สตรีที่ได้สร้างบารมีญาณและปรารถนาเป็นอัคคสาวิกาได้เกิดในสมัยพุทธเจ้ายัง
ทรงพระชนม์อยู่บรรลุธรรมและได้ปรินิพพานไป
สตรีในยุคหลังพุทธกาลผู้ที่มีบารมีบรรลุอรหัตตผลเป็นสาวิกาบารมีญาณนั้นคง
หายาก ภิกษุณีที่เป็นพระอรหันต์ถ้ายังเหลืออยู่ก็จะสามารถรักษาวงศ์ภิกษุณี
เถรวาทไว้ได้ เมื่อสตรีไม่มีสาวิกาบารมีญาณ
จึงไม่มีอุปนิสัยน้อมมาในบรรพชาเพื่อการพ้นทุกข์
เป็นที่น่าสังเกตว่าสตรีไม่นิยมออกบวชเท่ากับบุรุษ หรือเป็นเพราะว่าสตรีผู้
ที่มีบารมีในการออกบวชนั้นมีไม่มาก และการบวชนั้นมีความลำบากในเรื่องการ
ดำเนินชีวิต
ต้องมีความอดทนอย่างสูง สาวิกาบารมีญานจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้วงศ์
ภิกษุณีเถรวาทเสื่อมสูญไป
วินัยของภิกษุณี
วินัย
อันเป็นหลักปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับภิกษุณีมีมาตรฐานสูงกว่าวินัยของภิกษุ
เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นมาตรฐานที่ต่างกันคือ ปาราชิกของภิกษุณี ๘ ข้อ
ในขณะที่ของภิกษุมี ๔ ข้อ ในจำนวน ๘ ข้อนั้น ๔
ข้อพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เฉพาะภิกษุณีเท่านั้น และภิกษุณีล่วงละเมิดได้
ง่ายที่สุดเมื่อล่วงละเมิดแล้วก็ขาดจากความเป็นภิกษุณีทันที พระพุทธเจ้าทรง
วางแผนให้ภิกษุณีมีจำนวนจำกัดเท่านั้นเท่านี้โดยจำกัดโควตาให้บวช
ทรงบัญญัติให้ปวัตตินี(อุปัชฌาย์) รูปหนึ่งบวชสิกขมานาเป็นภิกษุณีได้ ๑ รูป
ต่อ ๑ ปี และปีต่อไปต้องงดบวชภิกษุณี
ให้เว้นระยะการบวชคือปีเว้นปีหมายความว่า ๒ ปี
ปวัตตินีบวชสิกขมานาให้เป็นภิกษุณีได้ ๑
รูปไม่ทรงอนุญาตให้ปวัตตินีบวชสิกขมานาเป็นภิกษุณีทุกๆปีTP[39]PTและไม่ทรงอนุญาตให้ปวัตตินีบวชให้สิกขมานาคราวละ ๒ รูปต่อปีTP[40]PT
การกำหนดโควตาให้บวชนี้ดูเหมือนเป็นระบบคุมกำเนิดภิกษุณี
มีวินัยที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะบวชเป็นภิกษุณีในคัพภินีวรรค คือ
ไม่ให้ภิกษุณีบวชให้สิกขมานาผู้ยังไม่ได้ศึกษาในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปีTP[41]PT ไม่ให้ภิกษุณีบวชให้สิกขามานาผู้ศึกษาธรรม ๖ ข้อแต่สงฆ์ยังไม่ได้รับรองTP[42]PT ไม่ให้ภิกษุณีบวชให้เด็กหญิงอายุหย่อนกว่า ๑๒ ปีTP[43]PT ไม่ให้ภิกษุณีบวชให้เด็กหญิงอายุครบ ๑๒ ปีผู้ยังไม่ได้ศึกษาธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปีTP[44]PT ไม่ให้ภิกษุณีบวชให้เด็กหญิงอายุครบ ๑๒ ปีผู้ได้ศึกษาธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปีแล้วแต่สงฆ์ยังไม่ได้รับรองTP[45]PT ไม่ให้ภิกษุณีบวชให้สหชีวินีแล้วไม่ดูแลอนุเคราะห์เป็นเวลา ๒ ปีTP[46]PTและในกุมารีภูตวรรค คือไม่ให้ภิกษุณีบวชให้กุมารีอายุครบ ๒๐ ปี ที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปีTP[47]PT ไม่ให้ ภิกษุณีบวชให้กุมารีอายุครบ ๒๐ ปี ที่ได้ศึกษาธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปีแล้วแต่สงฆ์ยังไม่ได้รับรองTP[48]PT ไม่ให้ภิกษุณีมีพรรษาหย่อนกว่า ๑๒ ตั้งตัวเป็นปวัตตินีบวชให้กุลธิดาTP[49]PTไม่ให้ภิกษุณีมีพรรษาครบ ๑๒ แต่สงฆ์ยังไม่ได้ตั้งให้เป็นปวัตตินี บวชให้กุลธิดาTP[50]PT
จากวินัยบัญญัตินี้จะทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงพระประสงค์ภิกษุณีที่มีคุณภาพจึง
ได้บัญญัติวินัยอย่างเข้มงวด ต่อมาคุณภาพของสตรีไม่ถึงจึงไม่มีคนมาบวช
นอกจากนี้กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับภิกษุณี เช่นการบวชของภิกษุณีจากสงฆ์ ๒
ฝ่าย การปวารณาจากสงฆ์ ๒ ฝ่าย การประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่าย
เป็นสาเหตุให้ภิกษุณีไม่สะดวกในการตัดสินใจในการบริหารภายในของภิกษุณีเอง
ดังนั้นวินัยบางสิกขาบทของภิกษุณีที่มีมาตรฐานสูงกว่าของภิกษุจึงเป็นสาเหตุ
หนึ่งที่ทำให้ภิกษุณีเถรวาทเสื่อมสูญไป
ปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายนอกที่เป็นเหตุให้ภิกษุณีเสื่อมสูญคือบริบทสังคม
บริบทสังคมหมายรวมเอาวัฒนธรรมเข้าไปด้วย
การผสมผสานวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้เป็นไปตามกระแสที่คนส่วนมาก
ดำเนินไปในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน ระบบวรรณะ
ความไม่สงบของบ้านเมือง
ภัยของภิกษุณีถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อวงศ์ภิกษุณี สตรีทุกยุคทุกสมัย
ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหน สังคมคาดหวังให้แต่งงาน
ถ้าไม่แต่งงานจะถูกสังคมดูถูกเหยียดหยาม เข้าสังคมไม่ได้
ทำให้สตรีที่ไม่ได้แต่งงานเป็นผู้เก้อเขินอับอายไม่มั่นใจเมื่อเข้าในสมาคม
และถูกกดดันจากครอบครัวของตัวสตรีเองด้วย
สตรีต้องการมีลูกไว้คอยดูแลเมื่อถึงวัยชรา
วัฒนธรรมเกี่ยวกับการแต่งงาน
ธรรมเนียมของศาสนาพราหมณ์การแต่งงานเป็นสิ่งที่สูงสุดในชีวิต
ไม่มีสิ่งใดที่จะสูงยิ่งกว่าการแต่งงาน เพื่อที่จะต้องมีบุตรชายสืบสกุล
สังคมอินเดียให้ค่านิยมวัฒนธรรมในการมีลูกชาย
บุรุษและสตรีจะต้องแต่งงานมีลูกสืบเชื้อสาย
จะเห็นได้จากบิดามารดาของพระสุทิน วิงวอนให้พระสุทิน ลาสิกขา
เพื่อแต่งงานมีลูก สืบเชื้อสาย วัฒนธรรมพราหมณ์ถือว่าบุรุษต้องแต่งงาน
ถ้าไม่แต่งงานมีภรรยามีลูกถือเป็นเรื่องผิดปกติ
ในสมัยพุทธกาลเมื่อมีบุรุษไปบวชประชาชนย่อมตำหนิ ด้วยคำพูดว่า
“พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อให้ชายไม่มีบุตร เพื่อให้หญิงเป็นหม้าย และเพื่อ
ความขาดสูญแห่งตระกูล บัดนี้ พระสมณโคดมบวชชฎิล ๑,๐๐๐ คนแล้ว
และบวชปริพาชกผู้เป็นศิษย์ของสัญชัย ๒๕๐ คนแล้ว
และพวกกุลบุตรชาวมคธเหล่านี้ที่มีชื่อเสียง
ก็พากันประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระสมณโคดม”TP[51]PT
และยังมีเสียงตำหนิติเตียนตลอดเวลา
ชาวบ้านทั้งหลายเมื่อเห็นภิกษุจะพากันกล่าวเสียดสีด้วยคำว่า
“พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระคิริพชนคร
ของชาวมคธ ทรงนำปริพาชกผู้เป็นศิษย์ของสัญชัยไปหมดแล้ว
บัดนี้ยังทรงนำใครไปอีกเล่า”TP[52]PT ตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างที่เกิดกับบุรุษที่มาบวชเป็นภิกษุ
TP[53]PT ภรรยาของนายพรานกุกกุฏมิตร สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ ไม่ได้บวช ภายหลังได้เป็นภรรยาของนายพรานTP[54]PT
ว่าตามข้อเท็จจริงของสังคมอินเดียแล้ว สตรีส่วนมากจะต้องแต่งงาน
โครงสร้างทางร่างกายของสตรีไม่เหมาะที่จะอยู่คนเดียวเพราะไม่ปลอดภัย ในสมัย
พุทธกาลพระพุทธเจ้าได้จาริกสั่งสอนประชาชนทุกวัน
สตรีที่เป็นชาวพุทธในครั้งพุทธกาล ก็ยังไม่ปรารถนาจะบวช
แต่ประสงค์จะแต่งงานตั้งแต่ยังสาว ดังเรื่องปรากฏอยู่ในธรรมบทว่า
“สตรีที่เป็นกุมารีรักษาอุโบสถศีลแล้วหวังผลคือการได้แต่งงานตั้งแต่อายุยัง
น้อย”TP[55]PT
และอีกประการหนึ่ง
วัฒนธรรมการรักษาลูกสาวของชาวอินเดียโบราณจะรักษาลูกสาวเป็นอย่างดี
ถ้าเป็นลูกสาวเศรษฐีจะรักษาไว้ที่ปราสาทชั้นที่ ๗ ไม่ให้ได้พบบุรุษเลย
ตัวอย่างคือ นางปฏาจาราTP[56]PT นางกุณฑุลเกสีTP[57]PT ภรรยานายพรานกุกกุฏมิตรTP[58]PT
สำหรับสตรีนั้น
ในบริบทสังคมวัฒนธรรมพราหมณ์ถือว่าเป็นผู้ตามและเชื่อฟังคำของสามี
การที่จะออกบวชเป็นภิกษุณีนั้นต้องขออนุญาตสามีเสียก่อน เมื่อสามีไม่อนุญาต
ก็บวชไม่ได้ และเป็นไปได้อย่างสูงสตรีที่มีลูกมีสามีแล้วจะห่วงสามีและลูก
พร้อมทั้งบ้าน
สำหรับสตรีที่อยู่ในความปกครองของบิดามารดานั้นยิ่งยากมากเพราะเป็นสตรีสาว
ไม่เป็นการง่ายเลยที่บิดามารดาจะปล่อยให้มาบวช ตัวอย่างเช่น นางวิสาขา
สำเร็จเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ และบริวารของวิสาขา ๕๐๐
คนได้สำเร็จเหมือนกัน ถือว่าไม่ได้เป็นปุถุชนนางเป็นพระอริยบุคคล แต่นาง
ก็ยังไม่ได้บวช
จนกระทั่งได้แต่งงาน สตรีที่อยู่ในวรรณะต่ำบิดามารดาก็รักษาเหมือนสตรีที่
อยู่ในวรรณะสูง เพียงแต่ได้ไม่อยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ เท่านั้น
ไม่ว่าจะยุคพุทธกาลหรือในยุคหลังพุทธกาล ลูกสาวจะถูกรักษาอย่างเข้มงวดมาก
กว่าลูกชาย
สตรีอินเดียไม่มีอิสระเป็นของตัวเองเพราะต้องอยู่ในความปกครองของบุคคลใน
ครอบครัว
การที่จะออกบวชแสวงหาทางหลุดพ้นก็เป็นไปได้ยากมากเพราะบริบทสังคมอินเดียที่
ไม่เอื้อให้สตรีออกจากเรือนบวชเป็นภิกษุณี
ในวินัยปิฎกมหาวิภังค์ได้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนในความไม่มีอิสรภาพของสตรีว่า
“สตรีที่มารดาปกครอง สตรีที่บิดาปกครอง สตรีที่ทั้งมารดาและบิดาปกครอง
สตรีที่พี่ชายน้องชายปกครอง สตรีที่พี่สาวน้องสาวปกครอง
สตรีที่ญาติปกครอง สตรีที่ตระกูลปกครอง สตรีที่มีคู่หมั้น(สตรีที่ถูกหมั้น
หมายตั้งแต่อยู่ในครรภ์)” เป็นต้น
สตรีเหล่านี้เมื่อประสงค์จะออกบวชเป็นภิกษุณีจะต้องขออนุญาตจากบิดามารดา
พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว ญาติ ตระกูล คู่หมั้น
ถ้าผู้ปกครองเหล่านี้เป็นพราหมณ์ จะไม่อนุญาตให้ออกบวชเป็นแน่นอน
หรือถ้าเป็นชาวพุทธแต่ไม่ลึกซึ้งในพุทธศาสนา เป็นการยากที่จะอนุญาตให้บวช
และมีสตรีอีกจำพวกหนึ่งคือสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา มีทั้งหมด ๑๐ จำพวก
คือ “ภรรยาสินไถ่ ภรรยาที่อยู่ด้วยความพึงพอใจ ภรรยาที่อยู่เพราะสมบัติ
ภรรยาที่อยู่เพราะแผ่นผ้า
ภรรยาที่เข้าพิธีสมรส ภรรยาที่ถูกปลงเทริด ภรรยาที่เป็นทั้งคนรับใช้เป็น
ทั้งภรรยา ภรรยาที่เป็นทั้งลูกจ้าง เป็นทั้งภรรยา ภรรยาที่เป็นเชลย
ภรรยาชั่วคราว”TP[59]PT สตรี
ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา จะตัดสินอะไรต้องได้รับความเห็นจากสามีเสียก่อน
และเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากที่สามีจะยินยอมให้ภรรยาไปบวช
สตรีเหล่านี้ถูกผูกมัดอยู่ด้วยระบบครอบครัวต้องรับผิดชอบบุตรธิดาที่จะเกิด
มาเป็นสมาชิก หรือถ้าสตรีที่เป็นโสดมีบิดามารดาปกครอง และสตรีที่มีสามี
แอบหนีไปบวชโดยไม่ขออนุญาตบิดามารดาหรือสามีก็ไม่สามารถจะบวชได้เพราะติดขัด
ที่อันตรายิกธรรม “ข้อว่าด้วยบิดามารดาหรือสามีอนุญาตหรือยัง”
อีกประการหนึ่งศาสนาพราหมณ์ฮินดูเกี่ยวกับการดูแลสตรียังฝังรากลึกและติด
แน่นอยู่กับวัฒนธรรมอินเดียอย่างแกะไม่หลุดจากวิถีชีวิตของประชาชนวัฒนธรรม
ของสังคมอินเดียนิยมหมั้นกันตั้งแต่ในครรภ์โดยที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวยังไม่ได้
เห็นหน้ากันอันเป็นประเพณีโบราณ จึงปรากฏมีสตรีที่ผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว
อายุ ๑๒ ปีมาขอบวชเป็นภิกษุณี และสตรีเหล่านี้จะต้องเป็นสิกขมานา ๒ ปี อายุ
๑๔ ปีก็สามารถบวชเป็นภิกษุณีได้
[60]PT
คัมภีร์ที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของพราหมณ์หลังพุทธกาลราวห้าสิบปีคือ
คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์
ในปัจจุบันการหมั้นหมายตั้งแต่อยู่ในท้องอันเป็นประเพณีโบราณนี้ยังคงดำรง
อยู่และได้รับการพัฒนามาเป็นการหมั้นหมายกันตั้งแต่นอนแบเบาะ
หรือตั้งแต่เป็นเด็กหญิงอายุยังน้อย
จะมีสัญลักษณ์สีแดงประทับอยู่ที่แสกผมเหนือหน้าผากและสอดคล้องกับหลักฐานที่
ปรากฏในปัจจุบันว่า “ เด็กหญิงเล็กๆ บางคนก็ทาสีแดงแสกผมเหนือหน้าผากแล้ว
เพราะบิดามารดาได้จัดการให้แต่งงานตั้งแต่เด็กเป็นทำนองหมั้นหมายไว้แต่ยัง
อยู่กับพ่อแม่ ต่อเมื่อโตแล้วจึงจักส่งตัวให้กับสามีต่อไป เด็กทารกบางคน
ต้องแสกหน้าตั้งแต่ยังนอนแบเบาะอยู่เลย
เพราะผู้ใหญ่ได้จัดให้มีการแต่งงานแล้ว
เพื่อความผูกพันที่มั่นคงและแน่นแฟ้น”TPTP[61]PTใน
คัมภีร์ได้บัญญัติบังคับให้สตรีในวัยสาวต้องแต่งงานอยู่กับบุรุษเมื่อสตรี
และบุรุษได้แต่งงานกันแล้วได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำหน้าที่ทางศาสนาคือการสร้าง
มนุษย์ของพระผู้เป็นเจ้า ดังที่คัมภีร์ระบุว่า “สตรีถูกสร้างขึ้นให้มีบุตร
ชายถูกสร้างขึ้นเพื่อให้กำเนิดบุตร
หน้าที่ทางศาสนาอันร่วมกันของบุรุษและสตรีบัญญัติไว้ในศรุติเช่นนั้น”TP[62]PT และว่า “บิดาไม่ให้บุตรสาวแต่งงานเมื่อถึงกาลอันควรย่อมถูกตำหนิ”TP[63]PT
กาลต่อมาสังคมอินเดีย ตามหมู่บ้านหรือแม้แต่อำเภอต่างๆ จะหาหญิงสาวได้ยาก
เพราะอายุ ๕-๖ ปี ก็เข้าพิธีหมั้นแล้ว โดยมากผู้หญิงหมั้นผู้ชาย
วัฒนธรรมการแต่งงานตั้งแต่วัยเด็ก
โดยผูกติดอยู่กับความเชื่อทางด้านศาสนาได้ครอบงำสตรีพราหมณ์ไม่มีโอกาสเป็น
ตัวของตัวเองในด้านความคิด
บริบทเกี่ยวกับระบบวรรณะ
TP[64]PT
พระพุทธเจ้าทรงแก้ปัญหาและตอบปัญหาแก่วรรณะพราหมณ์นี้มากกว่าวรรณะอื่น
ที่เป็นเช่นนั้น
เพราะวรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะที่ศึกษาพระเวทและเรียนศาสตร์หลายศาสตร์ เป็น
วรรณะที่มีอิทธิพลในการสร้างระบบความเชื่อในสังคม พราหมณ์บางคนมียศศักดิ์
เป็นถึงผู้ครองนคร ครอบครองทรัพย์สมบัติมหาศาล
ในสมัยพุทธกาลมีพราหมณ์หลายคนเป็นเจ้าเมืองครองนคร เช่น จังกีพราหมณ์TP[65]PTโปกขรสาติพราหมณ์TP[66]PT
พราหมณ์เป็นวรรณะที่ไม่นิยมโกนศีรษะ คนที่โกนศีรษะถือว่าเป็นอัปมงคล
เป็นคนกาลกิณี จะแสดงความรังเกียจต่อต้านบุคคลที่โกนศีรษะเป็นอย่างมาก
ใช้คำพูดที่เหยียดหยามต่อพระพุทธเจ้าบ้างและต่อภิกษุบ้าง
โดยเฉพาะคำพูดที่ใช้เรียกพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์คือ “มุณฑกะ สมณกะ”แปลว่า
สมณะกระจอก หัวโล้น
ซึ่งถือว่าเป็นถ้อยคำที่รุนแรงมาก ดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นวรรณะต่ำ
เป็นพวกขี้ข้า ในพระไตรปิฎกได้บันทึกเรื่อง สุนทริกภารทวาชพราหมณ์
ประกอบพิธีบูชาไฟ พอเสร็จพิธีแล้วจะถวายเครื่องเซ่น
ได้เหลือบไปเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งห่มคลุมพระวรกายจนถึงพระเศียร
อยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งจึงใช้มือข้างซ้ายถือเครื่องเซ่นที่เหลือ
มือขวาถือคนโทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
พอพระผู้มีพระภาคทรงเปิดผ้าคลุมพระเศียรออก สุนทริกภารทวาชพราหมณ์
จึงกล่าวขึ้นว่า “นี้คนหัวโล้น นี้คนหัวโล้น”TP[67]PT
ค่านิยมวัฒนธรรมพราหมณ์จะดูถูกบุคคลที่โกนศีรษะถือว่าเป็นบุคคลอัปมงคล
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าต้องโต้วาทะกับพวกพราหมณ์
เพราะพราหมณ์ถือตัวเองเป็นวรรณะที่ประเสริฐกว่าทุกวรรณะ
และรีบถือเครื่องเซ่นหันกลับ
และยังมีเรื่องทำนองเดียวกันอีกหลายเรื่องที่พบในพระไตรปิฎก
ส่วนสตรีที่โกนศีรษะบวชเป็นภิกษุณี ก็ได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากวรรณะ
พราหมณ์ เหมือนกันกับภิกษุ มีเรื่องบันทึกว่า
ภิกษุณีได้เดินทางไปเมืองสาวัตถีแคว้นโกศลขอพักค้างคืนในบ้านหลังหนึ่ง
ในบ้านนั้นอยู่แต่พราหมณีผู้เป็นภรรยา
พราหมณ์ผู้เป็นสามียังไม่กลับเข้าบ้าน เมื่อพราหมณ์ผู้สามีกลับเข้าบ้าน
ถามภรรยาว่า “สตรีเหล่านี้เป็นใคร” ภรรยาบอกว่า “สตรีเหล่านี้เป็นภิกษุณี”
พราหมณ์ผู้เป็นสามีจึงสั่งให้คนในบ้านขับไล่ภิกษุณีออกจากบ้านโดยใช้คำพูด
ว่า “พวกท่านจงขับไล่หญิงชั่ว หัวโล้นพวกนี้ออกไป”TP[68]PT
ระบบวรรณะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สตรีไม่ประสงค์จะบวชเพราะกลัวจะถูกมองว่า
เป็นคนวรรณะต่ำตามที่วรรณะพราหมณ์ได้กล่าวหา จำนวนภิกษุณีจึงลดลงเรื่อยๆ
ภัยของภิกษุณี
ภัยของภิกษุณีถือว่าเป็นปัจจัยภายนอกที่สำคัญ
เพราะภัยของสตรีคือบุรุษ สตรีที่บวชเป็นภิกษุณีแล้วก็ไม่พ้นภัยคือ
การถูกลวนลาม ข่มขืน จากบุรุษ พระสุภาชีวกัมพวนิกาเถรี
ได้ถูกนักเลงเจ้าชู้ได้ยืนขวางกั้นทางจะไปสวนมะม่วงTP[69]PT ภิกษุณีทั้งหลายจาริกไปภายในรัฐพวกนักเลงข่มขืนภิกษุณีเหล่านั้นTP[70]PT ภิกษุณีเที่ยวจาริกไปภายนอกรัฐถูกพวกนักเลงข่มขืนTP[71]PTภิกษุณี
ในยุคหลังพุทธกาลก็คงพบภัยในลักษณะเดียวกันกับภิกษุณีในสมัยพุทธกาล
ในสังคมไทยปัจจุบัน สตรีที่ประสงค์จะบวชเป็นแม่ชี
ส่วนมากบิดามารดาจะไม่อนุญาต ญาติพี่น้องไม่ยินดีด้วย
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะกลัวความไม่ปลอดภัยทั้งภายในวัดและนอกวัด
การฟื้นตัวของลัทธิพราหมณ์ฮินดูในสมัยหลังพุทธกาล
สาเหตุ
แห่งความเสื่อมสูญของภิกษุณีอาจจะเกี่ยวโยงกับการฟื้นตัวของลัทธิพราหมณ์
ฮินดูใหม่ในยุคหลังพุทธกาล ในช่วงพ.ศ. ๙๔๓-๑๐๔๓ และพ.ศ.
๑๐๐๐-๑๑๐๐พราหมณ์ได้แต่งคัมภีร์ปุราณะ
ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เขียนให้พระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารปางที่ ๙
ในคัมภีร์นี้กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเป็นมายาบุรุษของพระนารายณ์
เป็นแผนของพระนารายณ์ที่ส่งพระพุทธเจ้ามาหลอกลวงคนโง่ให้หลงเชื่อแล้วกำจัด
ทิ้งไป
พระพุทธเจ้าเป็นของปลอมเป็นนักหลอกลวงไม่ใช่ของจริงเป็นเพียงมายาบุรุษ
ดังข้อความในคัมภีร์ปุราณะกล่าวว่า “พวกอสูร มีประหลาทะ เป็นหัวหน้า
ได้ขโมยเครื่องบูชายัญของเทพยดาทั้งหลายไป
แต่เหล่าอสูรเก่งกล้ามาก...เทพยดาปราบไม่ได้ พระวิษณุเจ้า(พระนารายณ์)
จึงทรงนิรมิตบุรุษแห่งมายา(นักหลอกลวง)
ขึ้นมาเพื่อให้ไปชักพาเหล่าอสูรออกไปให้พ้นจากทางแห่งพระเวท...บุรุษแห่ง
มายานั้นนุ่งห่มผ้าสีแดง
และสอนเหล่าอสูรว่าการฆ่าสัตว์บูชายัญเป็นบาป...ทำให้พวกอสูรเป็นชาวพุทธและ
ชักพาให้หมู่ชนอื่นๆ ออกนอกศาสนา
พากันละทิ้งพระเวทติเตียนเทพยดาและพราหมณ์ทั้งหลาย
สลัดทิ้งสัทธรรมที่เป็นเกราะป้องกันตัว
เทพยดาทั้งหลายจึงเข้าโจมตีและฆ่าอสูรเหล่านั้นได้”อีกแห่งหนึ่งกล่าวว่า
“ในการสงครามระหว่างเทพยดากับเหล่าอสูร เทพยดาได้ปราชัยและมาขอให้องค์
พระเป็นเจ้า(พระวิษณุ=นารายณ์)ทรงเป็นที่พึ่ง องค์พระเป็นเจ้าจึงได้ทรงมา
อุบัติเป็นราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะมาทรงเป็นองค์มายาโมหะ(ผู้หลอกลวง)
และทรงชักพาให้เหล่าอสูรพากันหลงผิดไปเสีย ไปนับถือพุทธศาสนา
และละทิ้งพระเวทแล้วพระองค์ก็ได้ทรงเป็นพระอรหันต์ และทำให้คนอื่นๆ
เป็นพระอรหันต์ พวกนอกพระศาสนาจึงได้เกิดมีขึ้น”
คัมภีร์
ภาควตปุราณะกล่าวว่า “เมื่อกาลียุคเริ่มขึ้นแล้ว
องค์พระวิษณุเจ้า(พระนารายณ์)จะลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า
โอรสของราชาอัญชนะ
เพื่อชักพาเหล่าศัตรูของเทพยดาทั้งหลายให้หลงผิดไปเสีย....มาสอนอธรรมแก่
เหล่าอสูร...ทำให้พวกมันออกไปเสียจากพระศาสนา...พระองค์จะทรงสั่งสอนเหล่าชน
ผู้ไม่สมควรแก่ยัญพิธีให้หลงผิดออกไป ขอนอบน้อมแด่องค์พุทธะ
ผู้บริสุทธิ์ผู้หลอกลวงเหล่าอสูร” คัมภีร์มหาภารตะได้กล่าวว่า“เมื่อเริ่ม
กลียุค
องค์พระวิษณุเจ้าจะลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นโอรสของราชาสุทโธทนะ
และจะเป็นสมณะโล้น ออกสั่งสอนด้วยภาษามคธ ชักพาเหล่าประชาชนให้หลงผิด
ประชาชนเหล่านั้นก็กลายเป็นคนหัวโล้นไปด้วย และนุ่งห่มผ้าเหลือง
พราหมณ์ก็เลิกทำพิธีเซ่นสรวง และหยุดสาธยายพระเวท.ลำดับนั้น
เมื่อสิ้นกลียุค พราหมณ์นามว่ากัลกี เป็นบุตรแห่งวิษณุยสะ จะมาถือกำเนิด
และกำจัดเหล่าพวกอนารยชนคนนอกศาสนาเหล่านั้นเสีย”ฮินดูนิกายไศวะ
สายศังกราจารย์ สอนว่าศังกราจารย์เป็นอวตารของพระศิวะ(พระอิศวร)
เพื่อมากำจัดพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา มีข้อความในศังกรทิควิชยะว่า
“เทพยดาทั้งหลายได้มาร้องทุกข์แด่องค์พระศิวะเป็นเจ้าว่า
พระวิษณุได้เข้าสิงสู่ร่างของพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์เพื่อประโยชน์ของตน
บัดนี้ เหล่าชนผู้เกลียดชังพระศาสนา
ผู้ดูหมิ่นพราหมณ์ ดูหมิ่นธรรมแห่งวรรณะ และอาศรมธรรม
ได้มีจำนวนมากเต็มผืนแผ่นดิน
ไม่มีบุคคลใดประกอบพิธี เพราะคนทั้งหลายได้กลายเป็นคนนอกพระศาสนา(นอกศาสนา
ฮินดู) คือเป็นพุทธ เป็นพวกกาปาลิก เป็นต้น
ทำให้เหล่าเทพยดาทั้งหลายไม่ได้เสวยเครื่องเซ่นสังเวย องค์พระศิวะเป็นเจ้า
ก็ได้โปรดเห็นชอบกับเหล่าเทพยดา เสด็จอวตารลงมาเป็นศังกราจารย์ เพื่อกู้คำ
สอนแห่งพระเวท ให้ฟื้นคืนกลับมา
เพื่อให้สากลโลกมีความสุขและทำลายความประพฤติชั่วให้สิ้นไป”TP[72]PT
ในช่วงนี้ศาสนาพราหมณ์ฮินดูได้ฟื้นขึ้นมาเจริญรุ่งเรืองและได้เขียนคัมภีร์
ให้พระพุทธเจ้าเป็นบุรุษมายา หลอกลวงคนโง่และกำจัดทิ้ง การเจริญเติบโตของ
ฮินดู
ถ้ามองในมุมกลับก็คือความเสื่อมลงของสิทธิและโอกาสของสตรีที่จะเข้าถึงศาสนา
ฮินดูมีรากฐานในการกำจัดสิทธิสตรี
ซึ่งสิทธิสตรีนี้จะถูกจำกัดด้วยคำสอนของพราหมณ์ฮินดู
เมื่อศาสนาพุทธเสื่อมลง ก็หมายถึงสิทธิของสตรีเสื่อมลงด้วย
ค่านิยมที่สตรีบวชได้ก็ถูกบันทอนลงในที่สุดก็สูญหายไป
บริบทเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบของบ้านเมือง
TP[73]PT
และเมื่อถึงรัชสมัยของพระเจ้าพฤหทรถ ทรงเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอมาก
ได้ถูกพราหมณ์ชื่อว่าปุษยมิตรซึ่งเป็นเสนาธิการในราชสำนัก
แย่งราชบัลลังก์ปลงพระชนม์พระเจ้าพฤหทรถแล้วปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ปกครอง
แผ่นดิน ตั้งวงศ์ขึ้นใหม่ชื่อว่าราชวงศ์ศุงคะ มีเมืองหลวงชื่อว่าปาฏลีบุตร
อวสานราชวงศ์เมารยะในเวลา ๕๐ ปี กษัตริย์ปุษยมิตรเป็นพราหมณ์
จึงได้ประกอบพิธีบูชายัญชื่อว่า
อัศวเมธ และมีพราหมณ์ที่เป็นนักปราชญ์ชื่อว่าปตัญชลีเป็นเจ้าพิธี พระเจ้าปุ
ษยมิตรทรงทรงเบียดเบียนพระสงฆ์ เผาทำลายวัด
วิหารและสถูปเป็นจำนวนมาก พระสงฆ์ในกุกกุฏารามและอโศการามในเมืองปาฏลีบุตร
ถูกเบียดเบียนอย่างหนัก จึงต้องหลบหนีไปอยู่ที่อื่น
พระเจ้าปุษยมิตรได้ตั้งรางวัล ๑๐๐ ดินาร์แก่ผู้ที่ตัดศรีษะภิกษุได้ ๑ ศรีษะ
ด้วยพระประสงค์จะกำจัดพระพุทธศาสนาให้หมดสิ้นไปจากอาณาจักรของพระองค์
ราชวงศ์ศุงคะปกครองอินเดียเป็นเวลา ๑๐๐ กว่าปี และนับถือศาสนาพราหมณ์TP[74]PT ราชวงศ์
กุษาณเป็นอีกราชวงศ์หนึ่งที่ได้ปกครองอินเดียโปราณต่อจากราชวงศ์ศุง
คะ กษัตริย์ในช่วงต้นราชวงศ์คือพระเจ้ากัทพิเสส ที่ ๑ และที่ ๒
นับถือศาสนาเทวนิยมตามพวกกรีก ไม่ได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้ากนิษกมหาราช พระองค์หันมานับถือศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน
จึงมีการบำรุงพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานTP[75]PT
เป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในการที่พุทธศาสนาจะเสื่อมหรือเจริญ
ขึ้นอยู่กับอำนาจของผู้นำหรือกษัตริย์ที่ปกครองบ้านเมืองนั้น
การที่จะรู้จักความเป็นไปของภิกษุณีนั้นเป็นการยากเพราะไม่ได้รับการบันทึก
ไว้
ดังนั้นจึงต้องศึกษาประวัติพระพุทธศาสนาจึงจะทราบความเป็นไปของภิกษุณี พุทธ
ศาสนาในประเทศอินเดียนั้น ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
พระองค์ทรงนับถือพระพุทธศาสนา ในยุคของพระองค์มีการทำสังคายนาครั้งที่ ๓
ส่งสมณทูตออกไปประกาศศาสนา ๙ สาย พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง
หลังพระเจ้าอโศกมหาราชสวรรคต ราชวงศ์เมารยะได้เริ่มเสื่อมลง
อาณาจักรเริ่มแตกแยกพระราชนัดดาของพระองค์คือเจ้าชายทศรถและเจ้าชายสัมปติ
ได้แบ่งอาณาจักรกันปกครอง เมื่อเจ้าชายทศรถทรงครองราชย์ได้ ๘ ปี
ก็เสด็จสวรรคต
เจ้าชายสัมปติทรงครองราชย์เพียงผู้เดียวและพระองค์ทรงนับถือศาสนาเชน
TP[76]PT
พระเจ้าโคปาละได้สถาปนาราชวงศ์ปาละขึ้นในปีพ.ศ.๑๒๕๐
ราชวงศ์ปาละนับถือพระพุทธศาสนา
กษัตริย์ในยุคต้นราชวงศ์ปาละทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง
แต่ในช่วงปลายราชวงศ์กษัตริย์ไม่ทรงให้ความสำคัญในการบำรุงพระพุทธศาสนา
ราชวงศ์ปาละได้ปกครองอินเดีย ๔๐๐ กว่าปี ในพุทธศตวรรษที่ ๑๖
ราชวงศ์ปาละเสื่อมอำนาจลง
พระเจ้าวิชัยเสนได้สถาปนาราชวงศ์เสนะขึ้นปกครองอินเดีย
กษัตริย์ราชวงศ์เสนะเป็นฮินดู
ในยุคนี้ประชาชนหันไปนับถือศาสนาฮินดูมากขึ้นสถานการณ์พระพุทธศาสนา
เสื่อมโทรมลงมาก ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗
กองทัพอิสลามเติร์กบุกทำลายเมืองต่างๆ ในแคว้นมคธ ได้เผาวัด วิหาร
มหาวิทยาลัยนาลันทา ตำราวิชาการในหอสมุดมหาวิทยาลัยถูกเผาหมดสิ้น
พระสงฆ์สามเณรถูกฆ่าฟันล้มตายเป็นจำนวนมาก ที่รอดตายได้หลบหนีเข้าไปในเนปาล
และทิเบต ผลกระทบจากการบุกอินเดียของกองทัพอิสลามเติร์กครั้งนี้
พระพุทธศาสนาถูกทำลายมากกว่าฮินดู
พระสงฆ์หมดไปจากอินเดียจำเดิมแต่นั้นมา เมื่อขาดสถาบันสงฆ์
ชาวพุทธก็ขาดที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ชาวพุทธถูกกลืนเข้าไปเป็นศาสนิก
ฮินดู บางส่วนก็ถูกบังคับให้นับถือศาสนาอิสลาม
วัดและวิหารบางแห่งที่รอดพ้นจากการถูกทำลาย
ถูกดัดแปลงให้เป็นศาสนสถานของฮินดู
พุทธศาสนาได้เกิดและเจริญในอินเดียเป็นเวลา ๑๗ ศตวรรษ
และได้สูญสิ้นจากในอินเดียTP[77]PTกองทัพ
อิสลามภายใต้การนำของขุนทัพบักตยาร์ ขัลจิ ยกทัพบุกทะลวงมคธในปี
พ.ศ.๑๗๔๓(ค.ศ.๑๒๐๐)แล้วได้ทำลายมหาวิทยาลัยวิกรมศิลา
อันเป็นมหาวิทยาลัยที่สำคัญแห่งหนึ่งของชาวพุทธ
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เป็นที่รวมของวัด ๑๐๘ วัด
มีอาจารย์บรรยาย ๘๐๐ ท่าน มีนักศึกษาเป็นจำนวนหมื่น......
และกองทัพอิสลามได้ยกเข้ามาล้อมมหาวิทยาลัยนาลันทาได้ใช้ไฟเผามหาวิทยาลัย
เสียเรียบ ขนเอาทรัพย์สมบัติไปมหาศาล
แล้วไปปล้นเอาทรัพย์สมบัติตามวัดต่างๆฆ่าฟันภิกษุสงฆ์ทุกรูปที่พบเห็นTP[78]PT
บันทึกของพระถังซำจั๋ง ได้บันทึกไว้เมื่อค.ศ. ๖๒๗-๖๔๙ ได้บันทึก
เกี่ยวกับมหิรกุลราชากับแคว้นกัศมีระ ว่า
หลังจากที่มหิรกุลราชาฆ่าพระราชาแห่งกัศมีระสิ้นพระชนม์แล้ว
หลังจากนั้นได้ยกทัพไปฆ่าพระราชาแคว้นคันธาระ
และได้ทำลายสถูปวัดวาอารามย่อยยับ นับได้กว่า ๑,๖๐๐
แห่ง เหล่าขุนนางได้เตือนมหิรกุลราชา ไม่ให้ทำลายวัดวาอาราม และเข่นฆ่าคน
มหิรกุลราชาตรัสว่า “พวกเจ้าล้วนนับถือศาสนาพุทธ
ให้ความสำคัญกับความสุขที่จะได้รับในปรโลก มุ่งพุทธผล
จึงได้เพียรพยายามเผยแผ่เรื่องราวในชาดกของศากยมุนี
เจตนาจะให้เวรกรรมของเราติดตัวไปชาติหน้าหรือไร
พวกเจ้าจงกลับไปที่ของตนและหุบปากเสียให้สนิท”TP[79]PTพระเจ้า
มหิรกุลได้รับสั่งให้รื้อสถูปและทำลายสังฆารามทั้งหลายเสียถึงหนึ่งพันหก
ร้อยแห่งใช่แต่เท่านั้นพระองค์รับสั่งให้ฆ่าชาวพุทธในแคว้นนั้นเสียเป็น
จำนวนมากต่อมากTP
PT
เมื่อราชวงศ์กุษาณเสื่อมอำนาจลงอินเดียเริ่มระส่ำระสายอาณาจักรแตกแยกเป็น
รัฐเล็กรัฐน้อย ขัดแย้งกันตลอดเวลา จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๘
พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๑ ได้สถาปนาราชวงศ์คุปตะขึ้นในแคว้นมคธ
และกษัตริย์ในราชวงศ์คุปตะส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ราชวงศ์คุปตะปกครอง
อินเดียประมาณ ๒๐๐
ปีเศษก็เสื่อมอำนาจลง พระเจ้านรวรรธนะได้ตั้งราชวงศ์ขึ้นมาใหม่ชื่อว่า
วรรธนะ กษัตริย์ในต้นวงศ์วรรธนะ ๔ พระองค์ คือ พระเจ้านรวรรธนะ
พระเจ้าราชยวรรธนะ พระเจ้าอาทิตยวรรธนะ
และพระเจ้าประภาวรรธนะทรงนับถือศาสนาฮินดู บูชาศิวลึงค์
ถึงรัชสมัยพระเจ้าหรรษวรรธนะทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนา เมื่อพระเจ้าหรรษ
วรรธนะสวรรคต
[81]PT
ดังนี้ พุทธศาสนาในประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ. ๙๔๒
ยังเจริญรุ่งเรืองทราบจากบันทึกของพระภิกษุฟาเหียน และพุทธศาสนาใน ปี พ.ศ.
๑๑๗๒ เสื่อมลง ทราบจากบันทึกของพระถัมซำจั๋ง
การเดินทางของทั้งสองท่านนี้ห่างกัน ๒๓๐ ปี
ท่านทั้งสองเดินทางผ่านเมืองเดียวกัน จำนวนภิกษุในสมัยพระฟาเหียนจะมากกว่า
สมัยพระถังซำจั๋ง เมื่อเปรียบเทียบบันทึกการเดินทางของพระภิกษุ ๒
รูปนี้แล้วจะเห็นความชัดเจนในจำนวนที่ลดลงของภิกษุTP
สมัยพระฟาเหียน
|
สมัยพระถังซำจั๋ง
|
แคว้น Nagarahara รอบเมืองมีวัดมีภิกษุ ๗,๐๐๐ รูป
|
อารามมีจำนวนมาก แต่ภิกษุมีจำนวนน้อย สถูปถูกปล่อยให้รกร้าง
|
แคว้นUdyana พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากมีสังฆาราม ๕๐๐ แห่ง ล้วนศึกษาหินยาน
|
ในอดีตมีภิกษุ๑๘,๐๐๐ รูป ปัจจุบันลดน้อยลงนับถือมหายาน
|
Mathura สองฝั่งแม่น้ำมีสังฆาราม ๒๐ แห่ง มีภิกษุ ๓,๐๐๐ รูป
|
มีสังฆาราม ๒๐ กว่าแห่ง มีภิกษุ ๒,๐๐๐ รูป
|
KapiTha มีภิกษุและภิกษุณีนับได้ ๑,๐๐๐ รูป ศึกษามหายาน และหินยาน
|
สังฆารามฝั่งตะวันออกของเมือง มีภิกษุสงฆ์นับ ๑๐๐ รูป
|
Kanyakubja มีสังฆาราม ๒ แห่งล้วนศึกษาหินยาน
|
สังฆาราม ๑๐๐ กว่าแห่ง ภิกษุสงฆ์๑๐,๐๐๐กว่ารูป ศึกษาทั้งมหายานและหินยาน
|
Konsambi
ปัจจุบันยังมีหมู่สงฆ์อยู่ส่วนใหญ่ศึกษาหินยานในเมืองไร้เจ้าครองนครและชาว
บ้าน แทบเป็นเนินล้าง มีเพียงหมู่สงฆ์ บ้านเรือนกว่า ๑๐
หลังคาเรือนเท่านั้น
|
มี
อาราม ๑๐ กว่าแห่งส่วนใหญ่ถูกทิ้งรกร้าง ภิกษุสงฆ์ ๓๐๐ กว่ารูป
ศึกษาหินยาน อารามเก่า ๑,๐๐๐ แห่ง ด้านหนึ่งของกำแพงวัง
มีอารามอยู่แห่งหนึ่ง ภิกษุ ๓๐ กว่ารูป ศึกษาหินยาน
|
Tamraliti มีสังฆาราม ๒๔ แห่ง ล้วนมีภิกษุประจำอยู่ มีภิกษุ ๖,๐๐๐ รูป ล้วนศึกษาหินยาน
|
อารามกว่า ๑๐ แห่ง ภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป
|
Gandhara ชาวเมืองนี้ส่วนใหญ่ศึกษาหินยาน แต่กษัตริย์ชอบการฆ่าฟัน ไม่ศรัทธาพุทธศาสนา
|
อารามนับ ๑๐ ส่วนใหญ่ถูกทิ้งร้าง ภิกษุ ๓๐๐ กว่ารูปศึกษามหายาน
|
จากการศึกษาประวัติพระพุทธศาสนาในอินเดีย
ร่องรอยภิกษุณีเถรวาทปรากฏอยู่อย่างมั่นคงในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
คือระหว่างปีพ.ศ.
๒๑๘-๒๖๐(หรือตามหลักฐานของนักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันส่วนมากว่า พ.ศ ๒๗๐-
พ.ศ.๓๑๒) และมีปรากฏในจารึกต่างๆในสมัยต่อมาแต่ไม่มากนัก
หลังจากนั้นไม่มีหลักฐานบันทึกไว้ ภิกษุณีไม่สนใจบันทึกเรื่องของตัวเองไว้
เป็นไปได้ว่าภิกษุณีอาศัยภิกษุมานาน
ภิกษุณีคงคาดหวังว่าภิกษุคงจะบันทึกเรื่องของตนเองไว้ ภิกษุณีจึงไม่ได้
บันทึกเรื่องตัวเอง ภิกษุณีส่วนมากไม่ค่อยได้ศึกษาเล่าเรียนเท่าไหร่
ดังนั้นหลักฐานต่างๆของภิกษุณีจึงต้องศึกษาจากหลักฐานเกี่ยวกับพระภิกษุ
วงศ์ภิกษุณีเถรวาทในอินเดีย เสื่อมลงในปี พ.ศ.ใด หลักฐานไม่ปรากฏชัดเจน
สันนิษฐานว่าคงสูญสิ้นลงในศตวรรษที่ ๑๗ พร้อมกับวงศ์ของภิกษุ
ภิกษุณีในศรีลังกาปรากฏหลักฐานหลังสังคายนาครั้งที่
๓ ตามหลักฐานว่าพระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะกษัตริย์เกาะตัมพปัณณิ
ทวีป(ลังกา)ส่งพระราชสาสน์ขอภิกษุณีจากพระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์
ชมพูทวีป(อินเดีย)มาให้บวชสตรีในเกาะลังกา สังฆมิตตาภิกษุณีจึงถูกส่งมาที่
เกาะลังกาและได้บวชพระนางอนุฬาเทวีและบริวาร ๑,๐๐๐ คนTP[82]PT
ภิกษุณีในลังกานั้นรุ่งเรืองสมัยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ
หลังจากนั้นมาเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบฐานะความเป็นอยู่ของภิกษุสงฆ์ไม่
มั่นคง ปัญหาการเมืองอันเนื่องจากกษัตริย์ ๒ กลุ่ม แย่งกันครองลังกา
กาลใดกษัตริย์ชาวสิงหลขึ้นครองราชย์พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองแต่กาลใดทมิฬ
ขึ้นครองราชย์พุทธศาสนาถูกตัดทอน วัดวาอารามถูกทำลายกลายเป็นวัดร้าง
พระสงฆ์ถูกเบียดเบียนจากกษัตริย์ ลังกามีสงครามรบพุ่งกันเป็นประจำ
เมื่อค.ศ. ๙๘๕-๑๐๑๒ ตรงกับ พ.ศ. ๑๕๑๒-๑๕๕๕
กษัตริย์อินเดียใต้ได้มาครอบครองเกาะลังกาและศาสนาฮินดูก็ได้เข้ามาพร้อมกับ
กษัตริย์ผู้นี้
ประชาชนชาวลังกาจึงนับถือศาสนาฮินดู กษัตริย์อินเดียใต้ครองลังกาอยู่ ๕๓ ปี
และหลังจากนั้นมามีสงครามเกิดขึ้นเป็นประจำ
กษัตริย์แย่งกันครองราชย์เหมือนเช่นเคย
จนกระทั่งมีปอร์ตุเกสเข้าไปครอบครองเกาะลังกา
ศาสนาคริสต์ได้แพร่ไปสู่ชนชาวลังกา
หลังจากนั้นฮอลันดาเข้าครอบครองเกาะลังกาในสมัยที่ฮอลันดาปกครองนั้นพระพุทธ
ศาสนาอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมมากกระทั่งหาภิกษุรวมกันเป็นคณะเดียวกันรวมกัน ๕
รูปไม่ได้ ปรากฏว่าพระสงฆ์ในลังกาสูญวงศ์ลง เพราะไม่ได้อุปสมบทกันช้านาน
เหลือแต่สามเณรรูปเดียวชื่อสรณังกร อายุ ๕๕ ปี
ต่อมาพระเจ้ากิตติศิริราชสิงห์กษัตริย์ลังกาได้แต่งคณะทูตอัญเชิญพระ
ราชสาส์นขอพระสงฆ์ไทยไปตั้งพระพุทธศาสนาให้อุปสมบทชาวลังกา
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงโปรดให้พระ อุบาลีวัดธรรมาราม กับ พระอริยมุนี
พร้อมกับพระสงฆ์อีก ๑๖ รูป รวม ๑๘ รูป และสามเณรอีก ๗ รูป
ไปตั้งคณะสงฆ์สยามวงศ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๖ TP[83]PTเมื่อ
ศึกษาประวัติศาสตร์ของลังกาแล้วจะทราบได้ว่าบ้านเมืองไม่สงบ
เมื่อกษัตริย์ทมิฬหรือฮินดูครองราชย์ ศาสนาพุทธก็เสื่อมโทรม อารามถูกเผา
พระสงฆ์ถูกเบียดเบียน สำหรับสตรีถึงแม้จะมีศรัทธาจะบวช
คงไม่มีพ่อแม่คนไหนอนุญาตให้ลูกสาวไปอยู่ไกลตากลัวลูกจะได้รับอันตรายแก่
ชีวิต บางรัชสมัยภิกษุต้องสึกเพื่อกอบกู้แผ่นดิน จากเหตุการณ์บ้านเมืองไม่
สงบนี้เอง
ภิกษุสงฆ์ในลังกาจึงสูญวงศ์ลง ภิกษุณีในลังกาสันนิษฐานว่าเสื่อมสูญวงศ์ลง
ประมาณพ.ศ ๑๕๑๒ เป็นต้นมา จี.พี.มาละลาเสเกร่า
ยืนยันว่าภิกษุณีสงฆ์ศรีลังกาสูญสิ้นไปเมื่อกษัตริย์โจฬะครอบครองศรีลังกาใน
ศตวรรษที่ ๑๐ หรือพุทธศตวรรษที่ ๑๕TP[84]PT ส่วนภิกษุสงฆ์เมื่อเสื่อมสูญลงแล้วได้ขออุปัชฌาย์จากประเทศไทยไปบวชกุลบุตรชาวลังกา
TP[85]PT
จากเหตุการณ์ความไม่สงบทำให้วงศ์ของภิกษุในประเทศกัมพูชาต้องหมดไป
เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายแล้วจึงได้ขออุปัชฌาย์จากประเทศไทยไปบวชให้ชาว
กัมพูชา และเหตุการณ์ที่เกิดในกัมพูเจียกรอม(เขมรใต้)
ซึ่งดินแดนส่วนนี้แต่ก่อนเป็นของเขมร
แต่ต่อมาด้วยเหตุผลทางการเมืองจึงมาอยู่ในความปกครองของสาธารณรัฐสังคมนิยม
เวียตนามในปัจจุบันนี้
กัมพูเจียกรอมนับถือพุทธศาสนาเถรวาทมีชาวเขมรอยู่ในดินแดนเดิมของตนประมาณ
๑๒ ล้านคน มีวัดเถรวาท ๕๖๔ วัด ปัจจุบันนี้มีพระประมาณ ๒๐,๐๐๐รูป เมื่อปี
ค.ศ. 1984 ภิกษุถูกจับติดคุกประมาณ ๒,๐๐๐ รูป
และถูกเบียดเบียนอย่างต่อเนื่อง
การที่จะบวชเป็นภิกษุนั้นต้องขออนุญาตจากรัฐบาลเสียก่อนจึงจะบวชได้ ภิกษุ
บวชแล้วต้องทำนา ทำสวน เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา
และห้ามไม่ให้ชาวบ้านมาช่วย หรือบวชอยู่ก็สามารถถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นทหาร ถ้า
มีการขุดคลองจะเกณฑ์พระภิกษุและฆราวาสชาวพุทธไปขุดคลอง
แต่ละคนต้องขุดให้ได้ยาว ๕ เมตร กว้าง ๒
เมตร ถ้าถนนสายไหนขาดจะเกณฑ์ภิกษุไปซ่อม การทำพิธีกรรมต่างๆที่มีคนตั้งแต่ ๘
คนชุมชนกัน
และนิมนต์พระมาทำพิธีต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเสียก่อน ส่วนสตรี
กัมพูเจียกรอมที่บวชก็บวชเป็นแม่ชี โกนศีรษะ ใส่เสื้อขาว
ส่วนมากเป็นสตรีที่มีอายุ เรียกพวกเธอว่า “เนียะกันศีล” จะพักอาศัยอยู่บ้าน
เมื่อถึงวันอุโบสถจะไปวัดรับศีล แล้วกลับมาอยู่บ้าน
เพราะที่วัดไม่มีที่อยู่อาศัยและไม่ปลอดภัย
ประการสำคัญไม่มีใครเลี้ยง พระภิกษุท่านก็ทำนาเลี้ยงตัวเองTP
PTเหตุการณ์
ความไม่สงบของบ้านเมืองเป็นสาเหตุให้ภิกษุลดจำนวนลง การพระศาสนาไม่เจริญ
สตรีประสงค์จะบวชก็ไม่สามารถจะอยู่วัดได้ต้องมาอยู่ที่บ้าน
เหตุการณ์ความไม่สงบเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากที่สุดที่เป็นเหตุที่ทำให้
ภิกษุต้องหมดไปจากประเทศนั้นๆ เหมือนในประเทศกัมพูชา เมื่อ เมื่อค.ศ.
1975-1979 (พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๒๒) เมื่อคอมมิวนิสต์เวียตนามเหนือนำทหาร
เข้ามาตั้งฐานในกัมพูชา ๒ แสนคน และร่วมมือกับเขมรแดงเข้าตีพนมเปญ
ในขณะนั้นพระเจ้านโรดมสีหนุและพระราชินีเสด็จฝรั่งเศส
เวียตนามเหนือร่วมมือกับเขมรแดงยึดพนมเปญได้ หัวหน้าเขมรแดงคือสลุดซอ(พลพรต
ชื่อที่ฝรั่งเศสตั้งให้) นายพลสลุดซอหรือพลพรตได้จับพระสึก
ถ้าขัดขืนให้ดึงจีวรออกจากร่าง หรือไม่ก็ถูกฆ่าอย่างทารุณ
หลังจากสึกแล้วให้ไปทำนาและเคี่ยวเข็ญให้ทำงานอย่างหนัก ให้กินข้าวต้มวันละ
๑ ทัพพี ผสมกับน้ำ และผักต้ม รับประทานอาหารวันละ ๒ เวลา
คือเช้า-เย็น พระสังฆราชทิพยวงศ์ถูกจับสึก พระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ ๘ รูป
และพระเถระนั่งในรถเก๋งได้ขับลงแม่น้ำโขงฆ่าตัวตาย
พระที่เรียนสูงๆถูกจับสึกหมด พระแงดเนียงจบจาก ประเทศฝรั่งเศส
หลังจากถูกจับสึกแล้ว ได้ไปบอกชาวบ้านให้ระวังตัว ทหารเวียตนาม
จับแงดเนียงไปขังไว้ในอุโบสถ รอคำสั่งฆ่า
ท่านจึงได้ผูกคอตายในอุโบสถนั่นเอง ดังนั้นภายใน ๒-๓ ปี
ภิกษุและสามเณรได้หมดไปจากประเทศกัมพูชา คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนาถูกเผา
เป็นจำนวนมาก ทำลายพระพุทธรูป ส่วนโบสถ์ วิหารถูกนำไปใช้เป็นที่เก็บอาวุธ
เป็นที่นอน เป็นโรงครัวของกองทัพทหารเวียตนามเหนือ
ความไม่สงบของบ้านเมืองถือเป็นปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้ภิกษุณีในอินเดียและ
ศรีลังกานั้นได้เสื่อมสูญลง I.B Horner
ได้กล่าวถึงการสูญสิ้นภิกษุณีว่า “กำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้
ภิกษุณีเสื่อมตั้งแต่ต้นเป็นลำดับมา
ช่วงแรกของการบวชเป็นภิกษุณีสงฆ์นั้นภิกษุณีส่วนมากมาจากคนตระกูลชั้นสูงที่
ออกจากเรือนบวชในพระศาสนา ต่อมาภิกษุณีสงฆ์เสียคุณลักษณะนี้ไปสถาบันภิกษุณี
สงฆ์กลายเป็นที่พึ่งพำนักของคนยากจนอนาถา คนล้มเหลวในชีวิต
สาวแก่และแม่หม้าย รวมทั้งการไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของชนชั้นสูง
ในที่สุดก็ถูกละเลยให้สูญสิ้นไป”TP
ส่วนที่ศรีลังกาได้กล่าวถึงสตรีในพุทธศาสนาคือ ทศศีลดังข้อความว่า
“ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอนาถาแต่ละแห่งจะมีพระสงฆ์อยู่ ๑ หรือ ๒ รูป
บุคคลที่มีหลักฐานดี เป็นผู้ตั้งขึ้นนั้นต้องการพระสงฆ์คอยให้โอวาท
และอบรมสั่งสอนเด็กเหล่านี้ให้มีความประพฤติเรียบร้อย แต่ในสถานที่ๆ
มีเด็กหญิงอยู่ด้วย ปรากฏว่าไม่มีพระดังกล่าวอยู่
ในสถานเด็กกำพร้าหญิงนั้นจะมีแม่ชีซึ่งชาวลังกาเรียกว่า
ทศศีลเป็นผู้อยู่แทนสงฆ์”TP[88]PTใน
ประเทศศรีลังกาปรากฏมีเฉพาะทศศีลตามหลักฐานดังกล่าว
กาลต่อมาศรีลังกาพยายามจะฟื้นฟูวงศ์ภิกษุณีขึ้นมาอีก
คำถามมีต่อไปว่า“เมื่อมีการรื้อฟื้นวงศ์ภิกษุณีเถรวาทขึ้น
ยังได้ชื่อว่าภิกษุณีเถรวาทหรือไม่?” ประเทศศรีลังกาเคยมีภิกษุณีมาแล้ว
ดังนั้นจึงได้พยายามจะรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีขึ้นมาอีกโดยมีภิกษุสงฆ์ใน
ประเทศศรีลังกาเป็นผู้สนับสนุน และเมื่อปี ค.ศ.1986 พระภิกษุชาวศรีลังกา
จัดการประชุมใหญ่ที่ศรีลังกา ในการประชุมคราวนั้นมีประสงฆ์จากทั่วโลก
เลขาธิการของการประชุมเป็นพระที่สมาคมมหาโพธิที่พุทธคยา ได้กล่าวในที่
ประชุมเรื่องการช่วยสตรีชาวศรีลังกาให้ได้บวชเป็นภิกษุณีTP[89]PT
เมื่อพระให้ความสนับสนุนเช่นนี้ความพยายามของสตรีชาวศรีลังกาในการที่จะบวช
เป็นภิกษุณีไม่ได้หยุดอยู่แค่ในประเทศของตัวเอง ทศศีลชาวศรีลังกาได้ไปบวช
เป็นภิกษุณีอยู่ที่วัดชีไหล ลอสแอนเจลิส
สหรัฐอเมริกา พระซิงหยุน แห่งวัดโฝกวางซานเป็นผู้ดำเนินการบวชให้ จากคำให้
สัมภาษณ์ของภิกษุณีกุสุมา ได้กล่าวว่า เมื่อค.ศ.1988
วัดชีไหล สาขาวัดโฝกวางซาน ลอสแองเจลิส อเมริกา มีการจัดบวชภิกษุณี
สตรีชาวศรีลังกาไปบวช ๑๑ คน เมื่อไปถึงแล้ว ส่วนหนึ่งไม่บวชเป็นภิกษุณี
คงเป็นทศศีลเหมือนเดิม และอีกส่วนหนึ่ง ได้บวชเป็นภิกษุณี
เมื่อสตรีที่ได้รับการบวชเป็นภิกษุณีจากวัดชีไหลนั้นกลับประเทศศรีลังกา
สังคมไม่ยอมรับในที่สุดก็กลับมาแต่งตัวนุ่งห่มแบบทศศีลมาตาเหมือนเดิม
การบวชครั้งนั้นล้มเหลว เพราะภิกษุณีเหล่านี้ไม่มีความรู้ ขาดความมั่นใจTP[90]PT
ได้มีการบวชภิกษุณีที่พุทธคยา นำโดยวัดโฝกวางซาน ประเทศใต้หวัน
เป็นเจ้าภาพในการจัดการบวช ,มีการบวชที่ประเทศศรีลังกา
โดยคณะภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ นำโดยท่านสุมังคละ มหาเถระ
เป็นพระฝ่ายอัสคีรีสยามนิกาย , มีการบวชที่ประเทศใต้หวัน วัดโฝกวางซาน
เมืองเกาซุงTP[91]PT
เมื่อปี ค.ศ. 1996 สตรีชาวศรีลังกาคนหนึ่งเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ยังเป็นอาจารย์สอนธรรมะด้วย
มีความประสงค์จะบวชจึงได้เชิญภิกษุณีชาวเกาหลีชื่อว่า Sang Won
มาเป็นอุปัชฌาย์ พระที่สมาคมมหาโพธิที่พุทธคยาประเทศอินเดียชาวศรีลังกา
ยื่นมือเข้ามาสนับสนุนสตรีศรีลังกาท่านนี้
และประการสำคัญสังคมยอมรับเพราะเคยสอนธรรมะและมีความรู้ ส่วนการแต่งกาย
นั้น ครั้งแรกพระศรีลังกาเสนอให้มีการแต่งกายสีเหลืองแต่รูปแบบการตัดเย็บ
ให้เป็นแบบเกาหลี ในขณะนั้นมีภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเป็นพระศรีลังกาได้ยื่นจีวร
ให้สตรีศรีลังกาคนนั้น เป็นอันว่า ภิกษุณีศรีลังกา
ที่มีอุปัชฌาย์เป็นภิกษุณีเกาหลี จึงมีการแต่งกายโดยการใช้จีวรสีเหลือง
เหมือนภิกษุสงฆ์ ภิกษุณีศรีลังการูปนี้คือ ภิกษุณีกุสุมาTP[92]PT ความ
จริงภิกษุณี Sang won ได้เข้าไปอยู่ในประเทศศรีลังกาเมื่อปี ค.ศ.
1982 เพื่อดูสถานการณ์
ความเป็นไปได้ในการบวชภิกษุณีที่ศรีลังกาโดยอาศัยอยู่ ๓
ปี นับเป็นความสำเร็จในการฟื้นฟูวงศ์ภิกษุณีในประเทศศรีลังกา ภิกษุณีกุสุมา
เล่าให้ฟังว่า “ภิกษุณีศรีลังกาบวชจากภิกษุณีเกาหลี
ส่วนภิกษุณีเกาหลีนั้นบวชจากภิกษุณีจีน
และภิกษุณีจีนบวชมาจากภิกษุณีศรีลังกา”TP[93]PT
และสอดคล้องกับ หลักฐานว่า “พ.ศ. ๙๗๕ ภิกษุณีชาวลังกาคณะหนึ่ง
โดยการนำของภิกษุณีเทวสารา ได้เดินทางไปประเทศจีนทางเรือ
เพื่อประกอบพิธีบวชให้แก่ภิกษุณีสงฆ์ในประเทศจีน นับแต่นั้นมาภิกษุณีสงฆ์ก็
ถือว่าได้ตั้งมั่นลงแล้วในประเทศจีนและมีศิษย์สืบสายกันมาไม่ขาดสายTP[94]PTการ
บวชของสตรีศรีลังกาโดยการจัดของคณะสงฆ์ศรีลังกา
มีปวัตตินีเป็นภิกษุณีใต้หวันหรือภิกษุณีเกาหลี โดยอาศัยความเชื่อว่า
ปวัตตินีเหล่านี้สืบเชื้อสายมาจากภิกษุณีศรีลังกาเมื่อคราว พ.ศ.
๙๗๕ ในเมื่อสงฆ์ ๒ ฝ่ายเป็นสายเถรวาท
ภิกษุณีทั้งหลายที่ได้รับการบวชใหม่ในปัจจุบันนี้เป็นภิกษุณีเถรวาทหรือไม่?
จากคำถามนี้ ต้องย้อนไปศึกษาประวัติศาสตร์ของศรีลังกาช่วงพ.ศ. ๕๐๐
ภิกษุฝ่ายอภัยคิรีวิหาร
ได้ยอมรับและประพฤติตามคำสอนของภิกษุเหล่าวัชชีบุตรซึ่งสอนว่า
“คนเรามีตัวตนถาวร”TP[95]PT
จากการที่ประพฤติตามคำสอนของเหล่าวัชชีบุตร
ภิกษุสงฆ์ฝ่ายอภัยคิรีวิหารจึงมีชื่อเรียกว่านิกายธรรมรุจี
พระเจ้าวัฏฏคามินีทรงโปรดปรานนิกายธรรมรุจีมาก
คณะสงฆ์ฝ่ายอภัยคิรีวิหารเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นTP[96]PTเพราะ
ทำการศึกษาทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาทมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกก้าวหน้าอยู่
เสมอ
ฝ่ายมหาวิหารเป็นพวกอนุรักษ์นิยมทำให้บางสิ่งบางอย่างกลายเป็นเครื่องถ่วง
ความเจริญทำให้นิกายทั้งสองนี้แตกแยกกันมากขึ้นTP[97]PT
ในหนังสือศาสนวงศ์กล่าวว่า
ภิกษุอภัยคิรีวิหารที่พระเจ้าวัฏฏคามินีสร้างถวายได้แก้ไขคัมภีร์ปริวาร
คลาดเคลื่อนจากบาลีและอรรถกถาแล้วแยกจากคณะมหาวิหารวาสีเป็นจำนวนมากมาตั้ง
เป็นคณะหนึ่งTP[98]PT
พ.ศ.
๘๑๒-๘๓๔ ลัทธิไวตุลยซึ่งแต่งขึ้นโดยเดียรถีย์ชื่อว่าไวตุลยะผู้ปลอมบวชในพระ
พุทธศาสนา ได้เผยแผ่เข้าไปในลังกา ภิกษุฝ่ายอภัยคิรีวิหารได้ถือปฏิบัติตาม
โดยประกาศยืนยันว่าลัทธิไวตุลยนี้เป็นพุทธพจน์
ไวตุลยนี้บางครั้งเรียกว่ามหายานสูตรTP[99]PT
พ.ศ. ๘๖๕-๘๗๖
นิกายไวตุลยะมหายานได้เข้าไปในลังกาอีกครั้งโดยพระเถรหนุ่มรูปหนึ่งชื่อว่า
สังฆมิตร ได้เป็นอาจารย์พระเจ้าเชฏฐติสสะ และพระมหาเสนะ(พระอนุชา)
พระสังฆมิตรได้มีฐานที่มั่นคืออภัยคิรีวิหาร พระสังฆมิตรได้ไปชักชวนพระฝ่าย
มหาวิหารเป็นมหายาน แต่ฝ่ายมหาวิหารไม่รับ
พระสังฆมิตรจึงได้ยืมมือสถาบันกษัตริย์กลั่นแกล้งพระฝ่ายมหาวิหารโดยให้
พระองค์ออกคำสั่งประกาศห้ามประชาชนทำบุญถวายอาหารบิณฑบาตแก่ภิกษุฝ่ายมหา
วิหาร เป็นเหตุให้ฝ่ายมหาวิหารต้องพากันทิ้งอารามไปอยู่ที่อื่น
มหาวิหารได้กลายเป็นวิหารร้าง ฝ่ายพระสงฆ์ฝ่ายอภัยคิรีวิหารเจริญรุ่งเรือง
มาก ในหนังสือมหาวงษ์ พงษาวดารลังกาทวีปกล่าวถึงพระสังฆมิตรสรุปได้ความว่า
สังฆมิตรภิกษุ เป็นศิษย์ของพระรักขิตในอภัยคีรีวิหาร
ฉลาดในสาตรเวททั้งหลายมีภูตวิชาขับผีปีศาจเป็นต้น ท่านสังฆมิตรโกรธให้ภิกษุ
ฝ่ายมหาวิหาร ในรัชสมัยของพระเจ้าเชฏฐติสสะสังฆมิตรหนีมาอยู่ที่ฝั่งอินเดีย
เมื่อถึงรัชสมัยของพระเจ้ามหาเสนะ สังฆมิตรภิกษุได้กลับมาที่ลังกา
เริ่มแผนจะกำจัดพระสงฆ์ที่อยู่ในมหาวิหาร จึงทูลถวายพระพรว่า
“ดูกรมหาราชผู้ประเสริฐ บรรดาภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในมหาวิหารนั้น
จะได้มีถ้อยคำเปนวินัยหามิได้
แต่อาตมาภาพทั้งหลายนี้มีถ้อยคำเปนวิไนย ยังบรมกระษัตรให้ถือเอามั่นฉะนี้
แล้ว ก็ตั้งไว้ซึ่งราชอาชญาแห่งพระมหากระษัตรว่า
ถ้าผู้ใดใส่บาตรให้ข้าวให้น้ำแก่ภิกษุทั้งหลายอันอยู่ในมหาวิหารนั้น
สินไหมร้อยหนึ่งจะพึงมีแก่ผู้นั้น เมื่อสังฆมิตรภิกษุเบียดเบียนฉะนี้
ฝ่ายภิกษุทั้งหลายอันอยู่ในมหาวิหารก็ละซึ่งมหาวิหารเสียแล้ว ก็ไปสู่
มไลยประเทศและโรหนะชนบท เหตุดังนั้น
อันว่ามหาวิหารก็เปนอารามร้างว่างเปล่าสูญจากภิกษุทั้งหลายสิ้น ๙ ปี”TP[100]PT
เมื่อมหาวิหารเป็นวิหารร้างว่างเปล่าไร้ภิกษุฝ่ายมหาวิหารอาศัยพระสังฆมิตร
จึงได้ทูลยุยงความปรากฏว่า
“แท้จริงอันว่าที่แดนทั้งปวงหาเจ้าของมิได้แล้วก็เปนที่ของเจ้าแผ่นดิน
เมื่อมีอุบายอันตนได้แต่สำนักมหากระษัตรแล้ว
ก็ประกอบการที่จะทำลายล้างเสียซึ่งมหาวิหารนั้น”TP[101]PT
พระสังฆมิตรร่วมกับโสณอมาตย์ไปรื้อซึ่งโลหปราสาทอันมีพื้นที่ ๗ ชั้น
แลปราสาทอื่นต่างๆเปนอันมาก
นำมาแต่มหาวิหารเอาไปไว้ในอไภยคิรีวิหารแลอไภยคิรีวิหารนั้นก็มากไปด้วย
ปราสาท อันอำมาตย์แลภิกษุนั้นนำมาแต่มหาวิหารTP[102]PT
กาลต่อมาเมื่อภิกษุฝ่ายมหาวิหารได้กลับมาอยู่ในมหาวิหารเหมือนเดิม
พระราชามหาเสนะได้สร้างเชตวันวิหารในอาณาบริเวณฝ่ายมหาวิหารถวายแด่พระติสสะ
เถระซึ่งเป็นพวกสาคลิยะซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับมหาวิหาร พระองค์มีพระประสงค์
จะให้ภิกษุฝ่ายมหาวิหารเดาะซึ่งสีมาของมหาวิหารเสีย
การกระทำครั้งนี้ภิกษุฝ่ายมหาวิหารไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงพากันทิ้งมหาวิหาร
ไปอยู่ที่อื่นอีก ๙ เดือนTP[103]PTเชตวันวิหาร ความจริงก็เป็นพรรคเดียวกับพวกอภัยคิรีวิหารนั่นเองTP[104]PTใน
คัมภีร์ศาสนวงศ์กล่าวถึงพระสังฆมิตตะไว้ว่า
เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งในพวกพระภิกษุคณะอภยคิริวาสี
ท่านเป็นประธานอาจารย์ของพระราชา(มหาเสนะ)ได้ปรารภปรึกษากับพระเจ้ามหาเสนะ
เพื่อจะยุบวัดมหาวิหารอันเป็นที่อยู่ของพระอรหันต์ทั้งหลายมีพระมหามหินทร
เป็นต้น ครั้งนั้น วัดมหาวิหารว่างพระภิกษุถึง ๙ ปีTP[105]PT
TP[106]PT
ในสมัยพระเจ้าศิริเมฆวรรณ
พระบรมสารีริกธาตุอันเป็นส่วนพระเขี้ยวแก้วได้ถูกนำมาจากแคว้นกาลิงคะจาก
อินเดียสู่ลังกาและได้นำไปประดิษฐานเพื่อเป็นที่เคารพสักการะที่อภัยคิรี
วิหารTP[107]PTพระเจ้าศิริเมฆวรรณได้สืบราชสมบัติเมื่อปี ๙๐๕TP[108]PT เมื่อพ.ศ. ๙๕๒-๙๗๕ พระเจ้ามหานามเสวยราชย์แล้ว ทรงเลื่อมใสคณะสงฆ์ฝ่ายอภัยคิรีวิหารTP[109]PT
หลวงจีนฟาเหียนได้เดินทางเข้าไปลังกาเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๐
ได้บันทึกการเดินไว้ว่า
“วัดอภัยคิรีวิหารนั้นเจริญรุ่งเรืองมากมีพระภิกษุสามเณรถึง ๕,๐๐๐ รูป
แต่วัดมหาวิหารนั้นไม่ค่อยเจริญมีภิกษุสามเณรประมาณ ๓,๐๐๐ รูป”
คณะอภัยคิรีวิหาร เป็นคณะเสรีนิยม ไม่รังเกียจภิกษุต่างนิกาย
ยินดีต้อนรับเอาความคิดเห็นของต่างนิกายเข้ามา...อภัยคิรีจึงเป็นศูนย์สำคัญ
แห่งหนึ่งของมหายานในลังกาTP
PT
พระเจ้ามหาเสนะได้บีบคั้นมหาวิหารนิกายในที่สุดมหาวิหารนิกายได้เข้าถึงความ
เสื่อมเป็นเวลานาน อภัยคิรีวิหารเจริญรุ่งเรือง
[111]PT
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์นี้จึงสันนิษฐานว่า “เป็นไปได้อย่างสูงว่า
ภิกษุณีศรีลังกาที่ไปบวชสตรีชาวจีนเมื่อพ.ศ.๙๗๕ นั้น
เป็นภิกษุณีฝ่ายอภัยคิรีวิหารซึ่งเป็นนิกายธรรมรุจีไม่ใช่ฝ่ายมหาวิหารที่
เป็นเถรวาทTP[112]PT
ในช่วงพ.ศ.๙๗๕
นั้นคณะสงฆ์ฝ่ายอภัยคิรีวิหารมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากเพราะกษัตริย์
นับถือภิกษุฝ่ายอภัยคิรีวิหาร
ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในลังกาไม่ปรากฏว่าคณะสงฆ์ฝ่ายอภัยคิรีถูกรังแกมี
แต่ความเจริญรุ่งเรืองตลอดมา หลักฐานทางประวัติศาสตร์นี้
เป็นคำตอบได้เป็นอย่างดีว่า ฝ่ายมหาวิหารซึ่งเป็นฝ่ายเถรวาท
ถูกกลั่นแกล้งได้รับความลำบากต้องทิ้งถิ่นไปอยู่ที่อื่นถึง ๒ ครั้ง
มีความเป็นอยู่ลำบาก
ฝ่ายที่บ้านเมืองและกษัตริย์สนับสนุนคือภิกษุฝ่ายอภัยคิรีวิหาร
เมื่อเป็นเช่นนั้นประชาชนส่วนใหญ่จะประพฤติปฏิบัติทางศาสนาตามกษัตริย์
ดังนั้นภิกษุณีเทวสราและคณะจึงมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่า
เป็นภิกษุณีฝ่ายอภัยคิรีวิหาร เพราะช่วงที่อภัยคีรีวิหารเจริญรุ่งเรือง
คือช่วง พ.ศ. ๘๐๐-๑,๐๐๐TP
อนึ่งการบวชของภิกษุณีจีนนั้นมี ๓ ขั้นคือ ช่วงแรกให้สตรีผู้จะบวช
ขอบวชเป็นสามเณรี รักษาศีลก่อน จากนั้นฝึกอบรมต่อไปอีก ๓-๔ วัน ช่วงที่ ๒
ให้สามเณรีขอบวชเป็นภิกษุณีจากภิกษุณีสงฆ์ก่อนเป็นเรื่องที่ภิกษุณีสงฆ์
จัดการบวชให้กันเอง จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของภิกษุสงฆ์ทำหน้าที่บวชให้
อีก ช่วงที่ ๓ เป็นการรับศีลพระโพธิสัตว์ ๕๘ ข้อ TP[113]PT การ
บวชแบบจีนใต้หวันไม่มีขั้นตอนการเป็นสิกขมานา
แสดงว่ามหายานเลิกปฏิบัติตามครุธรรม ๘
ประการ ภิกษุณีจีนที่บวชจากภิกษุณีศรีลังกาฝ่ายอภัยคีริวิหารเป็นมหายาน
และยิ่งเจริญในฝ่ายจีนใต้หวัน
ยิ่งปรากฏชัดเจนว่าภิกษุณีจีนใต้หวันเป็นมหายานเพราะวิธีการบวชไม่มีขั้นตอน
การเป็นสิกขมานา ๒ ปี เมื่อปวัตตินี(ฝ่ายภิกษุณี) เป็นมหายาน
และภิกษุสงฆ์ที่บวชให้เป็นเถรวาท ภิกษุณีได้รับการบวชด้วยลักษณะนี้เรียกว่า
เป็นมหายานกึ่งเถรวาท หรือภิกษุณีที่มีภิกษุณีมหายานและภิกษุมหายานบวชให้
เรียกว่า มหายาน จริงอยู่คณะสงฆ์สมัยพุทธกาลไม่มีนิกาย
แต่ต้องดูข้อเท็จจริงในการปฏิบัติตามพระวินัย
พระพุทธศาสนามีภิกษุสงฆ์กลุ่มใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจประชาชน ๒ กลุ่ม
คือมหายาน(ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้)
และเถรวาท(คงสิกขาบทเดิม) ในส่วนของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
คณะภิกษุสงฆ์ได้ถือมติของพระเถระที่สังคายนาครั้งที่ ๑
ในมติครั้งนั้นว่าจะไม่ถอนสิกขาบทไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น
คงสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้อย่างครบถ้วน ถึงแม้ว่า
พระพุทธเจ้าจะทรงสั่งพระอานนท์ไว้ในเวลาที่ใกล้จะปรินิพพานด้วยข้อความว่า
“อานนท์เมื่อเราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่ก็พึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้”TP[114]PT
พระเถระในคราวสังคายนาก็ไม่ถอน ด้วยเหตุผลคือไม่สามารถตกลงกันได้ในที่
ประชุมว่าอะไรคือสิกขาบทเล็กน้อย เพราะพระอานนท์ไม่ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
สิกขาบทเล็กน้อยนั้นมีอะไรบ้าง ในที่สุด
พระมหากัสสปะได้ทำความตกลงกันกับคณะสงฆ์ในที่ประชุมว่า
“ท่านทั้งหลายขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
สิกขาบทของพวกเราที่รู้กันในหมู่คฤหัสถ์มีอยู่ แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้อยู่ว่า
“สิ่งนี้ควรแก่พวกสมณะเชื้อสายศากยบุตร สิ่งนี้ไม่ควร
ถ้าพวกเราจะถอนสิกขาบทเล็กน้อย ก็จะมีผู้กล่าวว่า
“พระสมณโคดมบัญญัติสิกขาบทแก่พวกสาวกชั่วกาลแห่งควันไฟ
สาวกพวกนี้ศึกษาสิกขาบทอยู่ตลอดเวลาที่พระศาสดาของตนยังมีชีวิตอยู่
พอพระศาสดาของพวกเธอปรินิพพานไปแล้ว
บัดนี้พวกเธอก็ไม่ศึกษาสิกขาบท ถ้าสงฆ์พร้อมกันแล้วก็ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่
ไม่ได้ทรงบัญญัติ ไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้
พึงสมาทานประพฤติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว ท่านรูปใดเห็นด้วยกับการ
ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ
ไม่ถอนพระบัญญัติตามที่ทรงบัญญัติไว้ สมาทานประพฤติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติ
ไว้แล้ว ท่านรูปนั้นพึงนิ่ง ท่านรูปใดไม่เห็นด้วย ท่านรูปนั้นพึงทักท้วงTP[115]PT
เมื่อคณะสงฆ์ในที่ประชุมสังคายนาไม่มีผู้ใดทักท้วง
หรือคัดค้านข้อญัตติที่พระมหากัสสปะประกาศในที่ประชุม
ดังนั้นท่านจึงประกาศมติว่า
“สงฆ์ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่ถอนพระบัญญัติตามที่ทรงบัญญัติไว้
สมาทานประพฤติสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้ สงฆ์เห็นด้วย เพราะฉะนั้นจึงนิ่ง
ข้าพเจ้าขอถือความนิ่งนั้นเป็นมติอย่างนี้TP[116]PTข้อความ
เหล่านี้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก พระอรหันต์เถระ ๕๐๐ รูปนำโดยพระมหากัสสปะ
พระอุบาลี และพระอานนท์ได้ประกาศจุดยืนไม่ถอนสิกขาบทเล็กน้อย
เมื่อทราบจุดยืนของเถรวาทแล้ว คำตอบของการบวชภิกษุณีโดยสงฆ์สองฝ่ายที่เป็น
เถรวาทและมหายาน ก็คือภิกษุณีกึ่งเถรวาทและกึ่งมหายาน
ไม่ใช่เถรวาทฝ่ายเดียว ดังนั้นจึงไม่ใช่ภิกษุณีเถรวาท
พระ
ธรรมปิฎก(ป.อ. ปยุตฺโต) ได้แสดงทัศนะในกรณีนี้ว่า
“ภิกษุณีสงฆ์ในสายเถรวาทขาดตอนหมดไปแล้ว
เราเลยบอกว่าไม่รู้จะเอาภิกษุณีสงฆ์ที่ไหนมาบวชผู้หญิงให้เป็นภิกษุณี
ถึงแม้ภิกษุสงฆ์จะมีอยู่ ก็บวชให้ไม่ได้ เพราะการที่จะบวชภิกษุณีได้นั้น
ความสำคัญอยู่ที่ภิกษุณีสงฆ์ มีภิกษุสงฆ์อย่างเดียวบวชให้เป็นภิกษุณีไม่ได้
องค์ประกอบสำคัญก็คือภิกษุณีสงฆ์นี่แหละ ตอนนี้มีคำถามว่า
ที่ประเทศมหายานเช่นไต้หวันนั้นมีภิกษุณีสงฆ์ เพราะฉะนั้น
ก็บวชภิกษุณีได้ใช่ใหม ก็ตอบง่ายๆ ชัดเจนว่าบวชได้ คือบวชเป็นภิกษุณีมหายาน
เพราะเมื่อบวชโดยภิกษุณีสงฆ์มหายานและภิกษุสงฆ์มหายาน
ก็ต้องเป็นภิกษุณีมหายานเป็นเรื่องธรรมดา
บวชอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ถ้าบอกว่าภิกษุณีสงฆ์ในไต้หวันนั้นเป็นภิกษุณี
สงฆ์เถรวาทเพราะสืบต่อมาจากสายเถรวาท ก็ต้องไปสืบประวัติกันให้ชัดออกมา
คือตรงไปตรงมา
ให้ชัดลงไปว่าเป็นมาอย่างไรเกิดขึ้นเมื่อไหร่ นอกจากนั้นยังจะมีปัญหาอีก
ขั้นหนึ่งว่าถ้าภิกษุณีสงฆ์ในไต้หวันเริ่มต้นโดยเกิดจากภิกษุณีสงฆ์เถรวาท
จริง แต่ต่อจากนั้นมา เวลาบวชภิกษุณีก็กลายเป็นว่า สงฆ์ ๒ ฝ่าย
ที่บวชให้นั้นภิกษุณีสงฆ์เป็นเถรวาท
ภิกษุสงฆ์เป็นมหายาน ภิกษุณีที่บวชใหม่ก็จะกลายเป็นลูกครึ่ง
คือเป็นภิกษุณีที่เป็นกึ่งเถรวาทกึ่งมหายานTP[117]PT
นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย ได้กล่าวว่า “จะเป็นภิกษุณีได้อย่างไรนั้น
เป็นเรื่องของหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดเป็นพุทธบัญญัติตายตัวและชัดเจน
ตายตัวคือจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้วเนื่องจากเป็นพุทธบัญญัติ
องค์พระบรมศาสดาผู้บัญญัติ
ปรินิพพานไปแล้วแม้จะมีพระพุทธานุญาตให้สงฆ์ถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้
แต่มติหรือคติของเถรวาทนั้นตกลงไม่ยอมถอน
คงยึดถือประพฤติตามพุทธบัญญัติอย่างเคร่งครัดมาจนถึงทุกวันนี้ TP[118]PT
พระธรรมปิฎกกล่าวไว้ว่า “ความปรารถนาดีและความต้องการของเรานี้จะได้แค่ไหน
ก็ต้องขึ้นต่อหลักการ เราต้องดูว่าหลักการเป็นอย่างไร
พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธบัญญัติไว้อย่างไรในเรื่องการบวชเป็นภิกษุณี
เมื่อหลักการเป็นอย่างนี้
ทำได้เท่าไหนก็เท่านั้น การปฏิบัติในเรื่องการบวชเป็นภิกษุณีนี้
ถึงจะมีรายละเอียดมาก แต่ถ้าว่าโดยหลักการกว้างๆ เราทราบกันแล้วว่า
การที่จะบวชเป็นภิกษุณีนั้นต้องมีอุปัชฌาย์เป็นภิกษุณี
แต่ข้อนี้ยังไม่สำคัญเท่าไร
เพราะว่าอุปัชฌาย์นั้นยังไม่ทำให้สำเร็จความเป็นภิกษุณีได้ การบวชเป็น
ภิกษุณีหรือภิกษุก็ตามสำเร็จด้วยสงฆ์ ตรงนี้เป็นข้อสำคัญ
และเป็นตัวตัดสิน คือต้องมีภิกษุณีสงฆ์ ทำอย่างไร
จะให้มีภิกษุณีสงฆ์มาบวชให้ ในเมื่อภิกษุณีสงฆ์ขาดตอนไปแล้ว ในเรื่องนี้
ไม่ว่าภิกษุหรือภิกษุณีก็เหมือนกันไม่ใช่เฉพาะภิกษุณี ภิกษุถ้าไม่มีภิกษุ
สงฆ์ก็บวชไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเกิดเหตุการณ์
อย่างในประวัติศาสตร์ของลังกาภิกษุสงฆ์หมดไป ๒ ครั้ง
กุลบุตรบวชเป็นภิกษุไม่ได้
แต่พอดีว่าประเทศไทยและพม่าซึ่งเป็นประเทศเถรวาทเหมือนกัน
ยังมีภิกษุสงฆ์อยู่
ทางศรีลังกาจึงได้ส่งทูตมาขอพระภิกษุสงฆ์ไปบวชกุลบุตรชาวลังกา
เกิดมีพระภิกษุขึ้นใหม่ ต่อมาภิกษุสงฆ์หมดอีก ก็ขอใหม่อีก ก็เป็นอย่างนี้
ถ้าภิกษุสงฆ์ในประเทศอื่นไม่มี ภิกษุก็บวชใหม่ไม่ได้ ก็จบสิ้นเหมือนกันTP[119]PT
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ภิกษุณีสงฆ์เถรวาทเสื่อมสูญไปจากสังคมเถรวาทที่เห็นได้
ชัดเจนที่สุดคือ ความไม่สงบของบ้านเมืองในประเทศนั้นๆและสังคมวัฒนธรรม
ไม่ใช่เสื่อมสูญเพราะครุธรรม ๘
หรือสิกขาบทบางสิกขาบท เพราะครุธรรมนั้นเป็นเพียงกฎที่ภิกษุณีต้องรักษา
และกฎครุธรรม ๘ ประการ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว
เมื่อย้อนไปศึกษาภิกษุณีในสมัยพุทธกาล
จะพบว่าสตรีในสมัยพุทธกาลมาบวชเป็นภิกษุณีเป็นจำนวนมากมีเป็นหมื่นทั้งๆ
ที่มีครุธรรม ๘ ประการและสิกขาบทแล้ว ดังนั้นครุธรรม ๘
และสิกขาบทจึงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ภิกษุณีเสื่อมสูญ
ปัจจุบันนี้ที่ประเทศศรีลังกามีการบวชภิกษุณีเถรวาทขึ้นมาทดแทนภิกษุณี
เถรวาทที่เสื่อมสูญไป
และมีการบวชติดต่อกันทุกปีโดยมีพระอินามาลุเว ศรีสุมังคโลมหาเถระ
เจ้าอาวาสวัดดัมบุลละนิกายสยามวงศ์เป็นพระอุปัชฌาย์
โดยมีภิกษุณีเกาหลีและภิกษุณีไต้หวันเป็นผู้สนับสนุนโดยการถวายปัจจัยให้
ท่านศรีสุมังคโลได้สร้างศูนย์ฝึกภิกษุณีขึ้นที่กาลุนเดวะในดัมบุลละTP[120]PT
สตรีทุกคนที่จะบวชเป็นภิกษุณีต้องผ่านการบวชเป็นสามเณรีก่อน หลังจากนั้น
ต้องเข้าอบรมหลักสูตร ๓ เดือน
เมื่อเสร็จสิ้นการอบรมแล้วต้องสอบข้อเขียน ถ้าสามเณรีรูปใดสอบผ่านจึงจะ
สามารถบวชเป็นภิกษุณีได้ ถ้าสอบไม่ผ่านหมดสิทธิ์ต้องรอสอบปีหน้าTP[121]PT
การบวชให้สตรีของท่านอินามาลุเว ศรีสุมังคโลไม่มีขั้นตอนของสิกขมานา ๒ ปี
แต่มีการบวชเป็นสามเณรี และมีการบวชติดต่อกันทุกปี
ท่านไม่ได้ปฏิบัติตามครุธรรมข้อว่าด้วยการเป็นสิกขมานา ๒ ปี
ไม่ปฏิบัติตามสิกขาบทข้อว่าด้วยปวัตตินีสามารถบวชให้สตรีเป็นภิกษุณีปีละรูป
เท่านั้นและบวชปีเว้นปี
ในสมัยพุทธกาลไม่มีการสอบข้อเขียนเพื่อเป็นภิกษุณี
คนไทยที่บวชเป็นภิกษุณีโดยธรรมเนียมศรีลังกามี ๘ รูปTP[122]PT ในประเทศศรีลังกามีภิกษุณีถึง ๔๐๐ รูปTP[123]PT
ในปัจจุบันนี้สันนิษฐานว่าคงมีภิกษุณีที่ศรีลังกาประมาณ ๕๐๐
รูป ถึงแม้ว่าประเทศศรีลังกาจะมีภิกษุณีเกิดขึ้นใหม่แต่สถานการณ์ของภิกษุณี
ศรีลังกายังไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังจากที่ได้พยายามต่อสู้เพื่อสิทธิ
เสรีภาพในการบวชเป็นภิกษุณีมานานหลายปี
แต่ชาวพุทธในศรีลังกายังคงไม่ให้การยอมรับผู้หญิงที่บวชเป็นภิกษุณีเท่าไร
นักTP[124]PT
ภิกษุณีเถรวาทดั่งเดิมได้เสื่อมสูญไปเพราะเหตุปัจจัยภายในและภายนอกดังที่
กล่าวมาแล้ว
เมื่อมองภิกษุณีเถรวาทที่เกิดขึ้นใหม่ในปัจจุบันภายใต้เงื่อนไขอันเดียวกัน
นี้ ภิกษุณีเถรวาทที่เกิดขึ้นใหม่นี้ก็จะเสื่อมสูญหมดไปด้วยเงื่อนไขอัน
เดียวกันกับในอดีต ต่างกันแต่เพียงกาลเวลาจะช้าหรือเร็ว เท่านั้น
วงศ์ภิกษุณีเถรวาทเสื่อมสูญลงยุคหลังพุทธกาลนั้นเพราะความไม่สงบของ
บ้านเมืองเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักมากที่สุด และเงื่อนไขปัจจัยอันเดียวกันนี้
ยังคงเป็นเงื่อนไขที่นำมาใช้ได้ในปัจจุบันในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ
ประเทศไทยคือ ยะลา นราธิวาสและปัตตานี
ได้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบของบ้านเมือง ภิกษุสามเณรถูกฆ่าตายถึงในวัด
เมื่อไปบิณฑบาตก็ถูกวางระเบิดทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ต้องมีทหารคุ้มกันในขณะบิณฑบาตร ถึงกระนั้นก็ยังไม่ปลอดภัย ชาวพุทธใน ๓
จังหวัดชายแดนภาคใต้อพยพหนีจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กี่หมื่นกี่แสนคนแล้วTP[125]PT
แหล่งที่มา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
|
No comments:
Post a Comment